มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                    กจ6:8-15
     ในครั้งนั้น สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและพระอานุภาพ ทำปาฏิหาริย์และเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชน บางคนจากศาลาธรรมที่เรียกกันว่าศาลาธรรมของเสรีชนที่เคยเป็นทาสคือชาวยิวจากเมืองไซรีน เมืองอเล็กซานเดรีย แคว้นซีลีเซียและอาเซีย เริ่มโต้เถียงกับสเทเฟน แต่เขาเหล่านั้นเอาชนะ
สเทเฟนไม่ได้เพราะสเทเฟนพูดด้วยปรีชาญาณซึ่งมาจากพระจิตเจ้า คนเหล่านั้นจึงเสี้ยมสอนประชาชนบางคนให้ใส่ความว่า “พวกเราได้ยินเขาพูดดูหมิ่นโมเสสและพระเจ้า” เขาเหล่านั้นยุยงประชาชนบรรดาผู้อาวุโสและ
ธรรมาจารย์ให้ปั่นป่วนวุ่นวาย แล้วจึงเข้าจู่โจมจับกุมสเทเฟนนำไปยังสภาซันเฮดริน ตั้งพยานเท็จปรักปรำว่า “ชายคนนี้พูดดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และธรรมบัญญัติอยู่เสมอ พวกเราได้ยินเขาพูดว่า เยซู ชาวนาซาเร็ธผู้นี้จะทำลายสถานที่นี้และจะเปลี่ยนแปลงขนบประเพณีที่โมเสสมอบให้เรา” ทุกคนที่นั่งอยู่ในสภาซันเฮดรินต่างเพ่งมองสเทเฟน เห็นใบหน้าของเขาสว่างรุ่งเรืองเหมือนกับใบหน้าของทูตสวรรค์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                      ยน6:22-29
     วันรุ่งขึ้น ประชาชนที่ยังอยู่บนฝั่งตรงข้าม สังเกตเห็นว่า มีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และจำได้ว่าพระเยซูเจ้ามิได้เสด็จลงเรือไปกับบรรดาศิษย์ บรรดาศิษย์ไปกันตามลำพังเท่านั้น แต่เรือลำอื่นจากเมืองทิเบเรียสมายังสถานที่ที่พวกเขาได้กินขนมปังเมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ก็ลงเรือ มุ่งไปที่เมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า เมื่อพบพระองค์ที่ฝั่งตรงข้าม จึงทูลถามว่า “พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
     “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้ท่าน เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว”
เขาเหล่านั้นจึงทูลว่า “พวกเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำเร็จ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

 

ข้อคิด
    แรงจูงใจเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะมันจะกลับเป็นพลังให้สามารถทำด้วยความจริงใจแม้ในสิ่งที่ยากสำหรับกการติดตามพระเยซูเจ้าแรงจูงใจประการเดียวที่พระองค์แนะนำคือ“เชื่อ”เช่นเดียวกับตัวอย่างของนักบุญสเตเฟนความเชื่อทำให้ท่านเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความสามารถมากมายแม้จะมีคนมาโต้เถียงเบียดเบียนใส่ร้ายท่านแต่ต่อหน้าการคุกคามและความชั่วร้ายเหล่านั้นใบหน้าของท่านยังคงสว่างสดใสพร้อมกับแรงจูงใจที่ยังคงแน่วแน่แม้จะต้องสละชีวิต

วันอังคารที่ 12 เมษายน 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                    กจ7:51-59,8:1ก
     ในครั้งนั้น สเทเฟนกล่าวกับประชาชน ผู้อาวุโส และธรรมาจารย์ว่า“ท่านผู้ดื้อรั้น ใจกระด้างและหูตึงทั้งหลายเอ๋ย ท่านต่อต้านพระจิตเจ้าอยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านเคยทำเช่นไร ท่านก็ทำเช่นนั้น มีประกาศกคนใดบ้างที่บรรพบุรุษของท่านมิได้เบียดเบียน เขาฆ่าผู้ที่ประกาศล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์ด้วย ท่านทั้งหลายได้รับธรรมบัญญัติผ่านทางทูตสวรรค์ แต่ก็หาได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่”
     เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเจ็บใจ ขบฟันคำรามเข้าใส่สเทเฟน
สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า เพ่งมองท้องฟ้า มองเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า จึงพูดว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าเปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า” ทุกคนจึงร้องเสียงดัง เอามืออุดหู วิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน ฉุดลากเขาออกไปนอกเมืองแล้วเริ่มเอาหินขว้างเขาบรรดาพยานนำเสื้อคลุมของตนมาวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เซาโล” ขณะที่คนทั้งหลายกำลังเอาหินขว้างสเทเฟนสเทเฟนอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” เซาโลเป็นคนหนึ่งที่เห็นชอบกับการที่สเทเฟนถูกฆ่า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                     ยน6:30-35
     เวลานั้น ประชาชนจึงทูลถามว่า “ท่านทำเครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อในท่าน ท่านทำอะไร บรรพบุรุษของเราได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน”
     พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ท่านแต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน เพราะขนมปังของพระเจ้าคือขนมปังซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก”
     ประชาชนจึงทูลว่า “นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด”
พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย

 

ข้อคิด
     ในอดีตประชากรของพระเจ้าเคยแสวงหาอาหารในถิ่นทุรกันดารและมานนาได้กลายเป็นเครื่องหมายแห่งการเลี้ยงดูของพระเจ้าสำหรับพวกเขาแต่เวลานี้พระเยซูเจ้านำเราสู่ความเข้าใจใหม่ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์จะไม่หิวกระหายอีกเลยเพราะพระองค์เองทรงเป็นปังแห่งชีวิตและเครื่องหมายที่เราจะเห็นได้ชัดที่สุดก็โดยผ่านทางศีลมหาสนิทที่พระทรงมอบชีวิตของพระองค์แก่เราเราได้เห็นแบบอย่างชีวิตพระที่เติบโตในตัวของท่านนักบุญสเตเฟนในวินาทีสุดท้ายของชีวิตท่านยังคงเชื่อในพระเจ้ายินดีที่จะทนทุกข์เหมือนพระเยซูเจ้าโดยขอพระเจ้าอภัยโทษผู้ที่ได้ฆ่าท่านเพื่อท่านจะได้อยู่กับพระเยซูเจ้าบุคคลที่ท่านรัก

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                   กจ8:26-40
     ในครั้งนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น และเดินไปทางทิศใต้ ตามทางที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกาซา ทางนั้นเป็นทางเปลี่ยว”ฟีลิปจึงลุกขึ้นออกเดินทาง ระหว่างทางเขาพบชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที ข้าราชการของพระราชินีคานดาสีของชาวเอธิโอเปีย เป็นผู้ดูแลราชทรัพย์ทั้งหมดของพระนางและมานมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะเดินทางกลับ เขานั่งในรถม้าและอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ พระจิตเจ้าตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงตามรถคันนั้นไปให้ทัน”ฟีลิปวิ่งตามไป ได้ยินเขากำลังอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจข้อความที่กำลังอ่านหรือ” ขันทีตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครอธิบาย” แล้วเขาก็เชิญฟีลิปขึ้นไปนั่งด้วย ข้อความของพระคัมภีร์ที่เขากำลังอ่านอยู่นั้น มีดังนี้
“เขาถูกนำไปฆ่าเหมือนแกะตัวหนึ่งลูกแกะไม่ออกเสียงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนตัดขนแกะฉันใดเขาก็ไม่อ้าปากฉันนั้นเมื่อเขาถูกเหยียดหยาม เขาไม่ได้รับความยุติธรรมเลยใครจะเล่าเรื่องเชื้อสายของเขาได้เพราะชีวิตของเขาถูกยกไปจากแผ่นดินนี้แล้ว”
     ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ประกาศกกล่าวเช่นนี้หมายถึงใคร หมายถึงตนเองหรือหมายถึงผู้อื่น” ฟีลิปจึงเริ่มประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าให้เขาฟัง โดยอธิบายพระคัมภีร์เริ่มตั้งแต่ตอนนี้
ขณะเดินทางอยู่นั้น ทั้งสองคนมาถึงแหล่งน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีกล่าวว่า “ดูซิ ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดขวางมิให้ข้าพเจ้ารับศีลล้างบาป” เขาสั่งให้หยุดรถ ทั้งฟีลิปและขันทีลงไปในน้ำ ฟีลิปล้างบาปให้ขันที เมื่อทั้งสองคนขึ้นจากน้ำแล้ว พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำฟีลิปไปที่อื่น ขันทีไม่เห็นฟีลิปอีก เดินทางต่อไปด้วยความยินดี ส่วนฟีลิปนั้นมีผู้พบที่เมืองอาโซทัส เขาเดินทางผ่านเมืองต่างๆ ประกาศข่าวดีจนมาถึงเมืองซีซารียา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                    ยน6:44-51
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า“ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขา และเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้ายมีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้าทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดารแล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปและปังที่เราจะให้นี้คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต”

 

ข้อคิด

     เราจะรู้จัก และรักพระเจ้ามากขึ้น ก็โดยผ่านทางประสบการณ์ของการอ่าน ฟัง รำพึงถึงพระวาจาของพระเจ้า เท่านั้นยังไม่พอ จำเป็นที่เราจะต้องภาวนาให้ความเชื่อทวีมากขึ้นในแต่ละวันเพราะพระเจ้าทำได้เพียงเชื้อเชิญให้แต่ละคนเข้ามาหาอย่างใกล้ชิดส่วนชีวิตเป็นของแต่ละคนที่จะต้องตัดสินใจด้วยตนเองเช่นเดียวกับขันทีชาวเอธิโอเปียที่ได้ฟังการอธิบายพระคัมภีร์จากฟิลิปและท่านเองเป็นผู้ขอรับศีลล้างบาปหากเราปรารถนาที่จะเป็นผู้ประกาศพระวาจาที่ประสบความสำเร็จจงเรียนรู้จากตัวอย่างของฟิลิปที่เริ่มประกาศด้วยการฟังเสียงของพระจิตเจ้าตอบสนองด้วยการทำตามและเริ่มพูดคุยในสิ่งที่ขันทีสนใจนำไปสู่การอธิบายพระวาจาและกลับใจในที่สุด

วันพุธที่ 13 เมษายน 2016 น.มาร์ตินที่ 1 พระสันตะปาปาและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                    กจ8:1ข-8
     วันนั้น เกิดการเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างรุนแรงในกรุงเยรูซาเล็ม ทุกคน นอกจากบรรดาอัครสาวกกระจัดกระจายไปตามชนบทในแคว้นยูเดียและสะมาเรีย
     ผู้มีใจศรัทธาบางคนนำศพสเทเฟนไปฝังและร่ำไห้คร่ำครวญถึงเขาอย่างมาก ส่วนเซาโลออกรังควานพระศาสนจักร เข้าไปตามบ้าน ฉุดลากทั้งชายและหญิงไปจองจำไว้ในคุก
บรรดาผู้ที่กระจัดกระจายไปเหล่านี้ออกไปยังที่ต่างๆ ประกาศพระวาจาเป็นข่าวดี ฟีลิปไปเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าให้ชาวเมืองนั้นฟังประชาชนที่ได้ฟังถ้อยคำของฟีลิป และเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่เขาทำ ก็พร้อมใจกันฟังคำสั่งสอนของเขา คนหลายคนที่ถูกปีศาจสิงอยู่ร้องเสียงดังแล้วปีศาจก็ออกไป คนอัมพาตและคนง่อยจำนวนมากหายจากโรค ประชาชนในเมืองนั้นจึงชื่นชมอย่างมาก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                    ยน6:35-40
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า“เราเป็นปังแห่งชีวิตผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวและผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลยเราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่าท่านเห็นเราแล้ว แต่ไม่เชื่อทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้เรา จะมาหาเราและผู้ที่มาหาเราเราจะไม่ผลักไสไปเลยเพราะเราลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามใจของเราแต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือเราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เราแต่จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้ายพระประสงค์ของพระบิดาของเราก็คือทุกคนที่เห็นพระบุตรแล้วเชื่อในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดรและเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย”

 

ข้อคิด
  ประสบการณ์ของประชาชนที่แคว้นสะมาเรียที่ได้พบเห็นฟิลิปตัดสินใจเข้าหาเพื่อฟังพระวาจาและเชื่อเมื่อนั้นความชั่วร้ายที่แฝงเร้นอยู่ก็สูญสลายไปความเจ็บป่วยก็ได้รับการรักษาให้หายดังนี้เงื่อนไขสำคัญเพื่อจะมี“ชีวิตนิรันดร”สำหรับคริสตชนคือ“เชื่อในสิ่งที่ได้เห็นได้ยินได้ฟัง”เพราะพระประสงค์ของพระบิดาคือทุกคนที่เห็นแล้วเชื่อในพระบุตรก็จะมีชีวิตนิรันดรอีกทั้งพระเยซูเจ้าเองเป็นผู้ที่ยืนยันว่าผู้ที่เชื่อในเราจะไม่หิวกระหายอีกเลยเรายังมีแบบอย่างของนักบุญมาร์ตินที่ 1 ที่ยอมถูกเนรเทศสละชีวิตเพื่อปกป้องความเชื่อซึ่งที่สุดแล้วชื่อของท่านไม่ได้ถูกลืมสูญหายพร้อมกับความตายแต่กลับกลายเป็นผู้ได้รับการเคารพถวายเกียรติตลอดไปในฐานะนักบุญผู้ค้ำจุนความเชื่อให้กับพระศาสนจักร

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                   กจ9:1-20
     ขณะนั้น เซาโลยังคงเคียดแค้นคุกคามจะฆ่าบรรดาศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเข้าไปพบมหาสมณะ ขอหนังสือมอบอำนาจไปยังศาลาธรรมต่างๆ ในเมืองดามัสกัส เพื่อจะได้จับกุมทุกคนที่พบไม่ว่าชายหรือหญิงที่ดำเนินชีวิตตามวิถีทางของพระคริสตเจ้าแล้วนำไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
     ขณะที่เขาเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวเขาไว้ เขาล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงกล่าวว่า “เซาโล เซาโลท่านเบียดเบียนเราทำไม” เซาโลจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่งท่านกำลังเบียดเบียน ท่านจงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองแล้วจะมีคนบอกให้รู้ว่าจะต้องทำอะไร” คนที่เดินทางพร้อมกับเซาโลยืนนิ่งพูดไม่ออก เขาได้ยินเสียงพูดแต่ไม่เห็นใครเลย เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้นดิน ลืมตา แต่ก็มองสิ่งใดไม่เห็น คนอื่นจึงจูงมือเขา พาเข้าไปในเมืองดามัสกัส เซาโลมองไม่เห็นสิ่งใดเลยเป็นเวลาสามวัน ไม่ได้กินและไม่ได้ดื่ม
     ที่เมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่อ อานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขาในนิมิตว่า “อานาเนีย” อานาเนียทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนซึ่งเรียกว่าถนนตรง จงไปที่บ้านของยูดาส ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส ขณะนี้เซาโลกำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ และเห็นชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียในนิมิตเข้ามาปกมือให้ เพื่อให้เขามองเห็นได้อีก”
แต่อานาเนียทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินหลายคนพูดถึงชายผู้นี้ และได้ยินว่า ที่กรุงเยรูซาเล็มเขาได้ทำร้ายบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพียงใด และที่นี่เขาได้รับอำนาจจากบรรดาหัวหน้าสมณะให้มาจับกุมทุกคนที่เรียกขานพระนามพระองค์” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบอานาเนียว่า “จงไปเถิด เพราะชายผู้นี้เป็นเครื่องมือที่เราเลือกสรรไว้เพื่อนำนามของเราไปประกาศแก่คนต่างศาสนา บรรดากษัตริย์และลูกหลานของอิสราเอลเราจะแสดงให้เขารู้ว่า เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเท่าใดเพราะนามของเรา” อานาเนียจึงจากไป และเข้าไปในบ้าน ปกมือเหนือเซาโล กล่าวว่า “เซาโลน้องรัก พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งทรงสำแดงพระองค์แก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ทรงส่งข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะมองเห็นได้อีกและได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดตกจากนัยน์ตาของเซาโล เขามองเห็นได้อีก จึงลุกขึ้นรับศีลล้างบาป เมื่อกินอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น
     เซาโลพักอยู่กับบรรดาศิษย์ที่เมืองดามัสกัสระยะหนึ่ง เขาเทศน์สอนในศาลาธรรมทันที ประกาศว่า “พระเยซูเจ้าพระองค์นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                    ยน6:52-59
     เวลานั้น ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์และไม่ดื่มโลหิตของเขาท่านจะไม่มีชีวิตในตนเองผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดรเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้ายเพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเราและเราก็ดำรงอยู่ในเขาพระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามาและเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใดผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้นนี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กินแล้วยังตายผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป”พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม

 

ข้อคิด
     อาหาร จะผ่านเข้าไปในร่างกาย และทำเจริญเติบโตได้นั้น จำเป็นต้อง กลืน กิน เข้าไป และเราก็ไม่สามารถรับรู้ รสชาติ ของอาหารนั้น ถ้าไม่เข้าไปใกล้ ๆ สัมผัส ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ประสบการณ์จุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่เจริญเติบโตในพระเยซูคริสต์ของเปาโลนั้น เริ่มต้นด้วยการเห็น เผชิญหน้ากับพระเยซู ผูกพัน และรับพระองค์เข้ามาในชีวิต ติดตามด้วยการเป็นผู้ประกาสพระนามพระเยซู เราคริสตชน คงไม่สามารถรับรู้รสชาติของพระเยซูผู้เป็นอาหารแท้ ที่ลงมาจากสวรรค์ ถ้าเราไม่เข้าไปใกล้ ๆ พระองค์ที่ประทับอยู่ในตู้ศีล หรือปล่อยให้พระคัมภีร์ที่มีนั้นปิดตายสนิท

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown