บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2024 สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 578
มีฤาษีสองรูปคือ บราเดอร์ฟรังซิสกับฤาษีสูงวัยอีกท่านหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินตากฝนไปตามถนนที่เฉอะแฉะและเปื้อนโคลนก็พบสาวสวยอ่อนวัยผู้หนึ่งยืนหนาวอยู่ข้างถนน สาวสวยผู้นี้แต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดี เลยไม่กล้าข้ามถนนเพราะกลัวเปื้อนโคลน บราเดอร์ฟรังซิสจึงเอ่ยขึ้นว่า “มาเถอะ” แล้วบราเดอร์ก็อุ้มเธอข้ามถนน จากนั้นฤาษีทั้งสองก็เดินทางกลับอารามเงียบๆ ครั้นถึงอาราม ฤาษีผู้สูงวัยทนต่อไปไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “บราเดอร์! รู้มั้ยฤาษีไม่ควรจะเข้าใกล้หญิงสาวโดยเฉพาะหญิงที่สวยเหมือนเมื่อสักครูนี้ แล้วบราเดอร์ทำไปทำไม?” บราเดอร์ฟรังซิสจึงตอบว่า “บราเดอร์ครับ ผมวางเธอไว้ข้างถนนแล้ว ทำไมบราเดอร์ยังพาเธอเข้ามาในอารามด้วยล่ะ?”
พี่น้องเห็นความแตกต่างระหว่างฤาษีสองรูปนี้ไหม คนหนึ่งมีจิตตารมณ์ “ร่วมด้วยช่วยกัน” อีกคนหนึ่งชอบ “หลบหลีก”
อันที่จริงเราคริสตชนก็เป็นเหมือนฤาษีสองรูปนี้แหละ คือเรามักจะพบกับจิตตารมณ์สองอย่างที่ขัดแย้งกัน นั่นคือจะหลบหลีกหรือจะร่วมด้วยช่วยกันดี
ผู้ที่มีจิตตารมณ์หลบหลีกก็จะพยายามหลีกจากคนที่จะทำให้ตนเองมีมลทิน และหลีกจากโลก แทนที่จะคิดทำให้โลกดีขึ้น
ส่วนผู้ที่มีจิตารมณ์ร่วมด้วยช่วยกันก็จะพยายามร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนบาป เพื่อจะได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา โดยถือว่าการจุดเทียนนั้นดีกว่ามัวแต่นั่งสาปแช่งความมืด
พี่น้องครับ เพื่อทำให้จิตารมณ์คริสตชนของเรามีความสมดุล และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เราต้องพยายามทำให้แนวโน้มที่ขัดแย้งกันทั้งสองประการนี้สอดประสานไปด้วยกัน ดังที่นักบุญยากอบสอนเราในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า “ความเลื่อมใสศรัทธาบริสุทธิ์และไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าพระบิดา คือการเยี่ยมเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตนให้พ้นจากมลทินของโลก”
เห็นไหม เพื่อจะเป็นคริสตชนที่ดีและศักดิ์สิทธิ์ไร้มลทินต่อหน้าพระเจ้านั้น เราต้องทำทั้งสองอย่าง คือทั้งร่วมด้วยช่วยกันและหลบหลีก
ร่วมด้วยช่วยกันโดยการทำดีต่อผู้อื่นดังที่นักบุญยากอบบอกให้เยี่ยมเด็กกำพร้าและผู้ที่มีความทุกข์ร้อน และหลบหลีกโดยการรักษาตัวเราเองให้บริสุทธิ์ ให้พ้นจากมลทินของโลก
เราต้องได้คะแนนสูงทั้งในการดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น และในการควบคุมตนเองเพื่อจะได้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าจริงๆ
จำเป็นที่ความเชื่อและความศรัทธาของเราจะต้องแสดงออกด้วยกิจการ หาไม่แล้วก็จะเป็นความเชื่อที่ตายแล้ว
เพราะความเชื่อและความศรัทธาที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่เรื่องของการฟังพระวาจาและร่วมมิสซาเท่านั้น แต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วย นักบุญยากอบสอนว่า “จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่เพียงแต่ฟัง ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง เพราะถ้าผู้ใดฟังพระวาจาแล้วไม่ปฏิบัติตาม ก็เหมือนคนที่มองใบหน้าของตนในกระจกเงา เมื่อมองตนเอง และจากไปแล้ว ก็ลืมทันทีว่าตนเป็นอย่างไร” (ยก 1:22-24)
จะเห็นว่า นักบุญยากอบต้องการเปรียบเทียบคนที่ฟังพระวาจาแล้วไม่ปฏิบัติตามว่าเป็นเหมือนคนที่มองกระจกเงา เห็นใบหน้าของตนสกปรก ผมเผ้ายุ่งเหยิง แล้วก็เดินจากไปโดยไม่ทำอะไร
นักบุญยากอบถือว่าพระวาจาของพระเจ้าเปรียบได้กับกระจกเงา ทำให้เราเห็นใบหน้าที่สกปรกและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง คนที่ฉลาดก็จะจัดการล้างหน้า โกนหนวดโกนเครา หวีผมให้เรียบร้อยชวนมอง
การฟังพระวาจาโดยไม่ปฏิบัติตามนั้น หาได้ทำให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใดไม่ ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติตามเท่านั้น เราจึงจะก้าวหน้าในความเชื่อและในความศักดิ์สิทธิ์ได้
ในพระวรสารวันนี้ พวกฟาริสีและธรรมจารย์ต่างก็เป็นพวกที่มีจิตตารมณ์ของการหลบหลีก พวกเขาเน้นการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หยุมหยิม เช่น การล้างมือ การล้างถ้วย จาน ชาม ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้สิ่งที่มีมลทินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ อาหารการกิน หรือสิ่งใดก็ตาม มาทำให้ตัวเขาและกฎเกณฑ์ที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาต้องพลอยมีมลทินไปด้วย
แต่พระเยซูเจ้าตรัสในพระวรสารวันนี้ว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจเถิด ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน”
โดยพระดำรัสเพียงประโยคเดียวนี้ พระองค์ทรงยกเลิกทุกสิ่งที่ทำให้เรากลัวและพยายามหลบหลีกผู้ที่เราคิดว่าเป็นคนไม่ดี เป็นที่สะดุด รวมถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราด้วย เพราะไม่มีสิ่งใดและก็ไม่มีผู้ใดที่อยู่นอกตัวเราที่จะทำให้เรามีมลทินไปได้
หากมีสิ่งใดหรือคนใดทำให้เรารู้สึกว่ามีมลทิน นั่นเป็นเพราะจิตใจของเราเองนั่นแหละ คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์นั้นมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากความบริสุทธิ์ ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า” พระเจ้าซึ่งอยู่ในทุกสิ่ง และในทุกคน (มธ 5:8)
ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงไม่ทรงลังเลที่จะสัมผัสกับคนโรคเรื้อน กินอาหารร่วมกับคนบาป ยอมให้หญิงมีมลทินเพราะตกโลหิตได้สัมผัสพระองค์ จนกระทั่งพระองค์เองทรงได้รับสมญานามว่าเป็น “เพื่อนของคนเก็บภาษีและคนบาป” (มธ 11:19)
พี่น้องครับ วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้หันมาสำรวจจิตตารณ์ของเราเอง ว่าเราเป็นพวกที่ชอบหลบหลีกจากการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนฤาษีสูงวัยซึ่งปล่อยให้หญิงสาวยืนหนาวอยู่ข้างถนน เพียงเพราะกลัวว่าจะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ไปหรือไม่?
หากเราเป็นเช่นฤาษีผู้สูงวัยท่านนี้ พระวรสารวันนี้ก็เชิญชวนเราให้หันมาดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับบราเดอร์ฟรังซิส ซึ่งยื่นมือเข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทุกคน โดยสำนึกอยู่เสมอว่า หากจิตใจของเราไม่มีมลทิน ก็ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดนอกตัวเราที่จะทำให้เรามีมลทินไปได้ และให้เราระลึกถึงคำของนักบุญยากอบที่ว่า “ความเชื่อที่ปราศจากกิจการ เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว” (ยก 2:17)