บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2024 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 838
บทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือพงศาวดารเล่าถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติยิว พวกเขาทำบาป ประพฤติตนชั่วร้ายตามแบบอย่างคนต่างศาสนา พระเจ้าทรงส่งประกาศกมาตักเตือนพวกเขา แต่พวกเขากลับดูหมิ่น เยาะเย้ย และหัวเราะเยาะบรรดาผู้ถือสารของพระเจ้า พระเจ้าจึงโปรดให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนยกทัพมาเผาทำลายพระวิหาร สิ่งของมีค่า และอาคารบ้านเรือนในกรุงเยรูซาเล็มทั้งหมด รวมถึงกวาดต้อนชาวยิวที่รอดพ้นจากการถูกฆ่าไปเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่ด้วยพระเมตตาของพระเจ้า พระองค์ทรงดลใจกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียให้ปลดปล่อยเชลยชาวยิวกลับมากรุงเยรูซาเล็ม
นี่เป็นพระเมตตาของพระเจ้าโดยแท้ !
ในบทจดหมายถึงชาวเอเฟซัส นักบุญเปาโลก็ยืนยันเช่นกันว่า ทุกวันนี้พระเจ้ายังทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา และยังทรงสำแดงความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา เมื่อเราตายไปแล้วเพราะได้ทำบาปล่วงละเมิดต่อพระองค์ พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพมีชีวิตกับพระคริสตเจ้า
นักบุญเปาโลยังย้ำด้วยว่า หนทางที่เราจะได้รับพระเมตตา และได้รับพระหรรษทานแห่งความรอดพ้นก็คือ อาศัยความเชื่อ ท่านนักบุญกล่าวว่า “ท่านได้รับความรอดพ้นเพราะพระหรรษทานอาศัยความเชื่อ”
ตกลงเราต้องเชื่อใคร และเชื่ออะไร ?
วันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสเองว่า “โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร”
ก็แปลว่าเพื่อจะได้รับพระเมตตาของพระเจ้าและได้รับพระหรรษทานแห่งความรอดพ้น เราต้องเชื่อในพระเยซูเจ้า !
ความเชื่อในพระเยซูเจ้าเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดจากฝ่ายเรามนุษย์ หากเราต้องการความรอดพ้นและมีชีวิตนิรันดร !
สิ่งที่เราต้อง “เชื่อในพระเยซูเจ้า” ประการแรกก็คือเชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และด้วยความสัมพันธ์ใกล้ชิดฉันพ่อลูกนี้เอง พระองค์จึงทรงล่วงรู้ความคิดและจิตใจของพระเจ้า และสามารถบอกความจริงทุกประการเกี่ยวกับพระเจ้าแก่เราได้
สิ่งที่เราต้องเชื่อประการที่สองก็คือ เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นดังที่พระเยซูเจ้าบอกเรา โดยเฉพาะสิ่งที่พระองค์ทรงบอกเราวันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งของพระวรสาร นั่นก็คือ “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16)
ที่ว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะพระวาจานี้เผยให้เราทราบความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดา ชนิดที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน จวบจนพระเยซูเจ้าทรงบอกเรา ซึ่งสรุปได้ 3 ประเด็นด้วยกันคือ
1. พระเจ้าคือผู้ริเริ่มแผนการแห่งความรอดพ้น บางคนพูดถึงพระบิดาราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่น่าเกรงขาม โกรธง่าย และชอบจดจำความผิด ส่วนความอ่อนโยน ความรัก และการให้อภัยนั้นเป็นลักษณะ เฉพาะของพระเยซูเจ้า บางคนถึงกับพูดว่าเป็นพระเยซูเจ้าที่ทรงอ้อนวอนพระบิดาให้เปลี่ยนทัศนคติจากชอบลงโทษมาเป็นให้อภัยมนุษย์
แต่วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงบอกเองว่า พระบิดาคือผู้เริ่มต้นแผนการแห่งความรอดพ้น โดยทรง “ประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์” เพื่อทำให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์มีชีวิตนิรันดร
2. พระเจ้าคือองค์ความรัก มนุษย์มักคิดและเชื่อว่า พระเจ้าคอยเฝ้าจับผิดมนุษย์ที่เลินเล่อ ไม่เชื่อฟัง หรือทรยศพระองค์ แล้วทรงลงโทษเฆี่ยนตีเพื่อให้มนุษย์หันกลับมาหาพระองค์
แต่พระเยซูเจ้าทรงบอกเราชัดเจนว่า พระบิดาทรงกระทำทุกสิ่ง “เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” ที่เป็นเช่นนี้เพราะธาตุแท้ของพระเจ้าคือ “ความรัก”
3. สิ่งที่พระเจ้าทรงรักคือโลก พระองค์ไม่ได้รักเฉพาะชาวยิว หรือเฉพาะคนดี แต่พระองค์ทรงรักคนทั้งโลก !
นั่นคือทุกคน “ไม่เว้นใครเลย” ล้วนรวมอยู่ในความรักอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระเจ้าทั้งสิ้น
ประการที่สาม เพื่อที่จะได้ชื่อว่าเชื่อในพระเยซูเจ้า เราต้องนบนอบเชื่อฟังพระองค์ เพราะทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสล้วนเป็นความจริง เราจึงต้องเดิมพันชีวิตของเราด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนทุกประการของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข
หาไม่แล้วเราก็จะถูกตัดสินลงโทษ เพราะพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว” (ยน 3:18)
เราอาจสงสัยว่า ในเมื่อพระเจ้าทรงรักโลก ทรงรักเรามนุษย์ทุกคน แล้วทำไมยังต้องมีการตัดสินลงโทษอีกเล่า ? พระเจ้าจะรักและตัดสินลงโทษมนุษย์ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร ?
เราสามารถอธิบายได้ดังนี้ พระบิดาทรงส่งพระบุตรมาพร้อมกับความรักและความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะช่วยเรามนุษย์ให้รอดพ้นและมีชีวิตนิรันดร
เมื่อเราเผชิญหน้ากับพระเยซูเจ้าแล้วเราเชื่อ วางใจ รัก และนบนอบเชื่อฟังพระองค์ เราก็ตัดสินตัวเราเองให้อยู่ในหนทางแห่งความสว่างและความรอดพ้น
ตรงกันข้ามเมื่อเราเผชิญหน้ากับพระองค์แล้วรู้สึกเฉยๆ เย็นชา ซ้ำร้ายบางคนยังรู้สึกไม่พอใจที่พระองค์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของตนมากเกินไป
ถ้าปฏิกิริยาของเราเป็นดังนี้ เรานั่นแหละตัดสินลงโทษตัวเราเอง เราเลือกที่จะรักความมืดมากกว่าความสว่าง
พระเจ้ามีแต่รัก เป็นเรามนุษย์เองนั่นแหละที่ตัดสินและพิพากษาลงโทษตัวเอง !
พระเยซูเจ้าบอกว่าผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์จะเกลียด “ความสว่าง” เพราะความสว่างทำให้เขามองเห็นความเลวร้ายของตนเอง ส่วนผู้ที่เชื่อในพระองค์จะอยู่ฝ่ายเดียวกับความจริง และไม่กลัว “ความสว่าง” คำถามที่เราต้องตอบให้ได้ในวันนี้ก็คือ “เรากลัวความสว่างหรือไม่ ?”
ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้า โปรดทวีความเชื่อของเราให้เข้มแข็งและมั่นคง พร้อมที่จะดำเนินชีวิตตามคำสั่งสอนและแบบอย่างของพระองค์ เพื่อเราจะได้กลับคืนชีพและมีชีวิตนิรันดรเช่นเดียวกับพระองค์