บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2024 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 838
เมื่อสองอาทิตย์ก่อน พระวรสารเล่าว่าพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดารในทะเลทราย ต่อมาอาทิตย์ที่แล้ว พระวรสารเล่าเรื่องพระองค์เสด็จขึ้นไปบนยอดเขาสูง มาวันนี้ พระวรสารเล่าว่าพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่ที่พิเศษมากอีกแห่งหนึ่งสำหรับการพบปะกับพระเจ้า เพียงแต่ว่าวันนี้เราไม่ได้เห็นพระวรกายอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ แต่กลับเห็นใบหน้าที่โกรธ และเกรี้ยวกราดของพระองค์แทน
ทำไมพระองค์จึงโกรธแล้วก็เกรี้ยวกราดถึงขั้นใช้แส้ขับไล่ทั้งคนทั้งสัตว์ออกจากพระวิหาร แล้วก็ปัดเงินกระจายเกลื่อนกลาด อีกทั้งยังคว่ำโต๊ะของผู้แลกเงินอีกด้วยเล่า ?
เนื่องจากบัญญัติกำหนดให้ชาวยิวถวายสัตว์ที่สมบูรณ์ไม่มีที่ติเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ผู้มีอำนาจของพระวิหารจึงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสัตว์ทุกตัวที่จะนำเข้ามาภายในพระวิหาร นอกจากค่าตรวจสอบจะแพงแล้ว ยังถูกผู้ตรวจสอบกลั่นแกล้งจนสัตว์ที่ผู้จาริกแสวงบุญนำมาเองมักไม่ผ่านการตรวจสอบอีกด้วย
ธุรกิจค้าโค แกะ นกพิราบ ฯลฯ ภายในพระวิหารจึงเกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีเพราะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่บรรดาผู้จาริกแสวงบุญ แต่ข้อเท็จจริงก็คือราคานกพิราบในพระวิหารสูงกว่านอกพระวิหาร 18-19 เท่า
เรื่องเงินสำหรับชำระภาษีพระวิหารก็เช่นกัน กฎหมายกำหนดให้ชาวยิวผู้มีอายุเกิน 19 ปีขึ้นไปต้องจ่ายภาษีให้พระวิหารครึ่งเชเขลต่อปีโดยต้องใช้เงินเชเขลของพระวิหารเท่านั้น จะใช้เงินตราต่างชาติซึ่งพวกเขาถือว่ามีมลทินไม่ได้เด็ดขาด
ผลที่ตามมาก็คือ เกิดธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราพร้อมกับค่าธรรมเนียมสุดโหดถึง “ร้อยละ 17” ของจำนวนเงินที่ต้องการแลก
สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว การไร้จรรยาบรรณในการตรวจสอบและการตั้งราคาขายสัตว์รวมทั้งค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยนเงินตราแบบขูดรีดขูดเนื้อเช่นนี้ แปลเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก เป็นความอยุติธรรมในสังคม เป็นการค้ากำไรเกินควร และที่สำคัญพวกเขากระทำในพระวิหารของพระเจ้า
พระองค์จึงไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้ประชากรของพระเจ้าถูกกดขี่เช่นนี้ได้ นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระองค์โกรธแล้วก็เกรี้ยวกราด !
จะเห็นว่าสิ่งที่ชาวยิวให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ก็คือการถวายสัตว์ที่ไม่มีตำหนิ การชำระภาษีพระวิหารด้วยเงินที่ไม่มีมลทิน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงพิธีกรรมภายนอก ไม่ใช่แก่นแท้ที่สำคัญของศาสนาเลย
แล้วอะไรล่ะคือแก่นแท้ของศาสนา ?
คำตอบอยู่ในบทอ่านที่สองของวันนี้
นักบุญเปาโลบอกเราว่า “ขณะที่ชาวยิวเรียกร้องขอดูอัศจรรย์ และชาวกรีกแสวงหาปรีชาญาณ เรากลับประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขน อันเป็นข้อขัดข้องมิให้ชาวยิวรับไว้ได้และเป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับชาวกรีก”
ความหมายของเปาโลก็คือกางเขนนี่แหละคือเครื่องหมายที่เป็นแก่นแท้ที่สำคัญของศาสนาคริสต์
ชาวยิวมองกางเขนเป็นเครื่องมือประหารนักโทษ จึงไม่สนใจกางเขน พวกเขาสนใจแต่เครื่องหมายอัศจรรย์ อย่างเช่นในพระวรสารวันนี้ พวกเขาก็ถามพระเยซูเจ้าว่ามีเครื่องหมายอะไรแสดงให้พวกเขารู้ว่าพระองค์มีสิทธิที่จะชำระพระวิหารอย่างนี้ ส่วนชาวกรีกเป็นนักคิด นักปรัชญา พวกเขายึดมั่นในความคิดของตนเองว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์จะมาทนรับทรมานและตายบนกางเขนได้อย่างไรกัน มันเป็นเรื่องโง่เขลา ไม่มีเหตุผล
แต่จริงๆ แล้ว พระเยซูเจ้าทรงยอมตายบนกางเขนก็เพื่อรับบาปแทนเรา
พระองค์ทรงรักเรา !
เพราะฉะนั้น แก่นแท้ที่สำคัญของศาสนาคริสต์ก็คือ ความรัก
ในเมื่อพระเจ้าทรงรักเรา เราจึงต้องรักพระเจ้า และในเวลาเดียวกันก็ต้องรักเพื่อนมนุษย์เพราะเห็นแก่พระเจ้าด้วย
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงชำระพระวิหารเพราะผู้มีอำนาจดูแลพระวิหารคิดว่าแก่นแท้ของศาสนาอยู่ที่การถวายเครื่องบูชาและจ่ายภาษีพระวิหารอย่างไร้ที่ติ แต่กลับละเลยสิ่งสำคัญที่สุดคือความรัก
พี่น้องครับ นักบุญเปโตรบอกว่า “ท่านเป็นเหมือนศิลาที่มีชีวิตกำลังก่อสร้างขึ้นเป็นวิหารของพระจิตเจ้า” (1 ปต 2:5)
ส่วนนักบุญเปาโลก็กล่าวว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้า” (1 คร 6:19)
รวมความว่าทั้งนักบุญเปโตรและเปาโลต่างก็ยืนยันว่า เราเป็น “วิหารของพระจิตเจ้า”
หากที่ผ่านมา เราซึ่งเป็นผู้ดูแลพระวิหารของพระจิตเจ้า มัวเอาใจใส่แต่เรื่องภายนอกเฉกเช่นเดียวกับชาวยิวที่เราได้ฟังในวันนี้ แล้วละเลยความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าและเข้ามาหาพระองค์ ขอพระองค์โปรดชำระตัวเราซึ่งเป็นวิหารของพระจิตเจ้าให้บริสุทธิ์
นักบุญยอห์นลงท้ายพระวรสารวันนี้ว่า “คนจำนวนมากเชื่อในพระนามของพระองค์เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ต่างๆ ที่ทรงกระทำ แต่พระเยซูเจ้าไม่วางพระทัยในคนเหล่านั้น ทรงรู้จักทุกคน” เพราะฉะนั้นพี่น้องต้องไม่ลืมว่า พระเยซูเจ้ามิได้วางใจทุกคน จะให้พระองค์วางใจทุกคนเหมือนอย่างที่ทรงวางใจบรรดาอัครสาวกไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงล่วงรู้จิตใจของมนุษย์อย่างเราทุกคน
พี่น้องครับ หากเราต้องการให้พระองค์วางใจเรา และมอบอาณาจักรสวรรค์ให้แก่เรา ก็ให้เราร่วมมือกับพระองค์ในการชำระตัวเราซึ่งเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าให้บริสุทธิ์ และเริ่มดำเนินชีวิตอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาและทำให้พระเจ้าพอพระทัยอย่างแท้จริง นั่นก็คือ รัก
รักทั้งพระเจ้า และรักทั้งเพื่อนมนุษย์ ไม่เว้นแม้แต่ศัตรูที่นำปัญหามาสู่ชีวิตของเราเอง !