บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2024 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 785
พี่น้องครับ สมัยนี้โรคที่เรากลัวกันมากที่สุดคงเป็นไวรัสโควิด หรือไม่ก็โรคมะเร็ง แต่ในสมัยพระเยซูเจ้า โรคที่น่ากลัวและน่าสมเพชที่สุดก็คือ “โรคเรื้อน”
หนังสือเลวีนิติที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ระบุว่า “ถ้าผู้ใดมีแผลที่ผิวหนัง เป็นฝี เป็นผื่น หรือพุพอง ซึ่งอาจลามเป็นโรคผิวหนังติดต่อได้” ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจะเป็นโรคเรื้อน ต้องนำไปให้สมณะตรวจสอบ และด้วยความรู้ทางการแพทย์ในสมัยนั้น พวกเขาไม่มีทางแยกแยะโรคเรื้อนออกจากโรคผิวหนังธรรมดาๆ ได้เลย
กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อนจริงหรือเป็นเพียงโรคผิวหนัง กฎหมายกำหนดให้พวกเขาต้องอาศัยอยู่นอกค่ายตามลำพัง สวมเสื้อผ้าฉีกขาด โกนผม มีผ้าคลุมถึงริมฝีปากบน เวลาจะไปไหนให้ร้องตะโกนว่า “มีมลทิน มีมลทิน” (ลนต 13:45-46)
สิ่งที่น่าสังเกตจากอัศจรรย์ในพระวรสารวันนี้คือท่าทีของคนโรคเรื้อนในการเข้าหาพระเยซูเจ้า ซึ่งควรจะเป็นท่าทีของเราคริสตชนด้วย
ประการแรก คนโรคเรื้อนผู้นี้มี “ความวางใจพระเยซูเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” เขาไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียวเลย ว่าพระองค์จะไม่เต็มใจและจะไม่รักษาเขาให้หาย
เหตุผลก็คือ ปกติผู้ป่วยโรคเรื้อนจะไม่กล้าเข้าใกล้ชาวยิวเพราะกลัวชาวยิวเอาหินขว้างเพื่อขับไล่ให้ออกไปไกลๆ แต่คนโรคเรื้อนผู้นี้วางใจพระเยซูเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมว่าพระองค์จะไม่เอาหินขว้าง และจะไม่ขับไล่เขาออกไป
และจริงๆ แล้ว สำหรับพระเยซูเจ้า ไม่มีผู้ใด “มีมลทินเกินกว่าจะเข้าหาพระองค์” ทุกคนสามารถเข้าหาพระองค์ได้ทั้งนั้น
นอกจากนี้ ทั้งๆ ที่ผู้คนสมัยนั้นจนปัญญาที่จะรักษาโรคเรื้อน เขาก็ยังวางใจว่าพระองค์จะสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ เขาเชื่อว่าพระองค์จะรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อนได้ และพระองค์ก็ทำได้จริงๆ
ประการที่สอง คนโรคเรื้อนผู้นี้มี “ความสุภาพถ่อมตน” เขากล่าวว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้”
เท่ากับเขากำลังทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง ใครๆ ก็พากันตีจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าพระองค์ทรงเมตตา ก็สามารถใช้ฤทธิ์อำนาจจากสวรรค์ รักษาคนน่ารังเกียจอย่างข้าพเจ้าได้”
เขาสุภาพถ่อมตน และเป็นความสุภาพถ่อมตนที่ทำให้เขาปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์นี่เอง ที่ช่วยให้เขาได้พบกับพระเยซูเจ้า และพระองค์ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
ประการที่สาม คนโรคเรื้อนผู้นี้มี “ความเคารพพระเยซูเจ้าอย่างมาก” พระวรสารวันนี้เล่าว่าเขามาเฝ้าพระองค์และ “คุกเข่าอ้อนวอน”
เขาอาจจะไม่รู้ว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพระองค์ เขาสัมผัสได้ถึงความรักและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เขาจึงคุกเขาอ้อนวอนต่อหน้าพระองค์!
เมื่อท่าทีของคนโรคเรื้อนเป็นเช่นนี้ มีหรือที่พระเยซูเจ้าจะไม่ทรง “เมตตาสงสาร” ?!
จากอัศจรรย์ครั้งนี้อีกเช่นกัน ที่เราสามารถเรียนรู้และซึมซับหัวจิตหัวใจของพระเยซูเจ้าได้อย่างชัดเจน...
ประการแรก สำหรับพระองค์ ความรักย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
แม้กฎหมายจะห้ามคนโรคเรื้อนเข้าใกล้เกิน 6 ฟุต แต่พระองค์ก็ทรง “ยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา” โดยไม่หวั่นเกรงการติดเชื้อแม้แต่น้อยนิด
สำหรับพระองค์ กฎแห่งความรักย่อมอยู่เหนือกฎอื่นใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่หมดกำลังใจหรือกำลังท้อแท้สิ้นหวัง อย่าลืมว่าพระองค์พร้อมเสมอที่จะต้อนรับทุกคนด้วยดวงพระทัยที่เข้าใจและเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร
ประการที่สอง ไม่มีคำว่ารังเกียจอยู่ในความคิดและจิตใจของพระองค์เลย พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสคนโรคเรื้อน และรักษาเขาให้หายโดยไม่มีความรังเกียจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าไม่มีผู้ใดสกปรกในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงเล็งเห็นแต่ความต้องการความช่วยเหลือของเราแต่ละคน
ประการสุดท้าย พระองค์ทรงสั่งให้คนโรคเรื้อนทำตามที่โมเสสกำหนด ข้อนี้บ่งบองสองสิ่ง
สิ่งแรกคือพระองค์พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมายและยอมรับสิ่งที่มนุษย์ถือว่าถูกต้องชอบธรรม พระองค์ไม่ใช่คนดื้อรั้นที่ชอบฝ่าฝืนกฎหมาย (หรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน) แบบไม่ยั้งคิด
อีกสิ่งหนึ่งคือ ในเมื่อพระองค์ทรงกำชับให้คนโรคเรื้อนปฏิบัติตามขั้นตอนที่โมเสสกำหนดไว้ ก็หมายความว่าเราก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและมาตรการต่างๆ ของทางราชการในการป้องกันโรคระบาด และต้องไม่ละเลยความพยายามใดๆ ที่จะป้องกันและรักษาตัวเองเท่าที่ยาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในสมัยของเราจะเอื้ออำนวย
เราจะรออัศจรรย์โดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ !
จากอัศจรรย์ครั้งนี้ เราได้พบเห็นทั้งความเมตตา ทั้งฤทธิ์อำนาจ ทั้งความปรีชารอบคอบ ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในพระเยซูเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว !
นี่คือพระเยซูเจ้าที่นักบุญเปาโลยึดเอาเป็นแบบอย่าง ดังที่เราได้ฟังในบทอ่านที่สองวันนี้ นั่นคือ ให้เราพยายามทำทุกสิ่ง มิใช่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แต่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น โดยเฉพาะบรรดาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยและผู้สูงอายุ
ให้เราวอนขอพระบิดาเจ้า โปรดให้เราเข้ามาหาพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความวางใจ ความสุภาพถ่อมตน และความเคารพรักเช่นเดียวกับคนโรคเรื้อนในพระวรสารวันนี้ เพื่อเราจะได้สัมผัสกับความเมตตาและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในอันที่จะเยียวยาโรคร้ายต่างๆ ในจิตวิญญาณของเรา เราจะได้ลุกขึ้นมาประกาศความรักของพระองค์ ด้วยการทำทุกสิ่ง ไม่ว่าจะกิน หรือจะดื่ม เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ดังที่นักบุญเปาโลบอกเราวันนี้