บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2023 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 786
มีเรื่องเล่าว่า ก่อนโปรดศีลล้างบาป พระสงฆ์ถามชายหนุ่มที่กำลังจะรับศีลล้างบาปคนหนึ่งว่า “ศีลล้างบาปเป็นย่างก้าวที่สำคัญมากนะ ลูกเตรียมตัวรับศีลล้างบาปอย่างดีแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มตอบ “ผมคิดว่าผมเตรียมตัวดีแล้วครับ ภรรยาของผมเตรียมอาหารว่างไว้หลายอย่าง เรายังสั่งร้านเบเกอรี่ให้ส่งคุกกี้และเค็กมาที่วัดสำหรับแขกที่มาร่วมพิธีวันนี้ด้วย”
“พ่อไม่ได้หมายความอย่างนั้น” พระสงฆ์ตอบยิ้มๆ “พ่อหมายถึงลูกได้เตรียมตัวด้าน Spirit ดีแล้วหรือ?”
เขาตอบ “แน่นอนครับคุณพ่อ ผมเตรียมเบียร์สดไว้หนึ่งถัง และยังมีวิสกี้สำหรับคนที่ไม่ดื่มเบียร์ด้วย”
พี่น้องอาจจะนึกขำกับความซื่อบื่อของว่าที่คริสตชนใหม่คนนี้ เพราะแทนที่เขาจะเข้าใจคำ Spirit ว่าหมายถึง “จิตวิญญาณ” แต่เขากลับเข้าใจว่าพระสงฆ์ต้องการหมายถึง “เหล้าและเบียร์”
พี่น้องครับ ที่น่าเศร้าก็คือ ทุกวันนี้คริสตชนจำนวนมากก็เข้าใจการเตรียมตัวต้อนรับพระกุมารโอกาสคริสต์มาสไม่ต่างไปจากชายหนุ่มคนนี้เตรียมตัวรับศีลล้างบาป เราสนใจเรื่องของวัตถุมากกว่าเรื่องของจิตวิญญาณ เทศกาลคริสต์มาสกลายเป็นเทศกาลช้อปปิ้ง เราซื้อของขวัญ ซื้อโปสการ์ด ซื้อของเล่น ซื้ออาหาร ซื้อเครื่องดื่ม ซึ่งล้วนแล้วแต่ตรงข้ามกับท่าทีของคริสตชนยุคเริ่มแรก อย่างเช่นชาวโครินทร์ ที่นักบุญเปาโลเอ่ยถึงในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างไม่มีที่ติ และไม่ขาดพระคุณใดเลยในขณะที่รอคอยการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า พระเจ้าของเรา
คำถามก็คือช่วงเวลาเตรียมรับเสด็จนี้ เราต้องการพระคุณใดมากที่สุด ?
เพื่อจะตอบคำถามนี้ พ่ออยากให้พี่น้องตอบอีกคำถามหนึ่งก่อน สมมุติว่าพี่น้องกำลังนอนหลับและฝัน ฝันว่าเสือตัวหนึ่งกำลังไล่ตะปบเรา เราวิ่งหนีสุดชีวิตแต่กลับพบว่าสิงโตตัวเบ้อเริ่มกำลังวิ่งมาข้างหน้า หันไปทางซ้ายก็เจอกะทิง หันไปทางขวาแรดก็กำลังวิ่งเข้าใส่ ถามว่าพี่น้องจะหนีพ้นเสือสิงห์กะทิงแรดเหล่านี้ได้อย่างไร?
พ่อไม่ได้พูดเล่น แต่คำตอบก็คือ “ตื่น” และนี่คือพระคุณที่เราต้องการช่วงเตรียมรับเสด็จนี้มากที่สุด !
เมื่อเราตื่น เราก็จะพบกับโลกใหม่ โลกแห่งความเป็นจริงซึ่งต่างจากโลกแห่งความฝัน สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่โตมโหฬารขณะกำลังฝันจะกลายเป็นสิ่งไร้ความหมายทันทีเมื่อเราตื่น สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกในความฝันจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ที่สำคัญกว่าอีก เช่นเราจะพบว่าปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่การหนีเสือสิงห์กะทิงแรดอีกต่อไป แต่อยู่ที่ทำอย่างไรเราจึงจะส่งลูกไปโรงเรียนและตัวเราเองก็ไปถึงที่ทำงานได้ทันเวลาแทน
พี่น้องเห็นไหม มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างเวลาหลับกับเวลาตื่นฉันใด จิตวิญญาณที่หลับกับจิตวิญญาณที่ตื่นก็มีการเปลี่ยนแปลงฉันนั้น
ในบทอ่านที่หนึ่ง ชาวยิวหลงไปจากวิถีทางของพระเจ้า พวกเขาทำบาป พวกเขามีใจดื้อด้าน นั่นคือจิตวิญญาณของพวกเขากำลังหลับ ประกาศกอิสยาห์จึงทูลพระเจ้าว่า “เหตุไฉนพระองค์จึงไม่ทรงแหวกท้องฟ้าและเสด็จลงมาเล่า” คือมาช่วยประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรให้ตื่นขึ้นมาจากหลับ
พระเจ้าสดับฟังนะ พระองค์ทรงส่งพระกุมารให้เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อปลุกเราให้ตื่นขึ้นมาจากหลับ
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าจึงทรงแนะนำและเตือนเราว่า “จงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร”
เราไม่รู้ว่า หลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกเมื่อใด ระหว่างนี้จึงเป็นช่วงเวลาของการทดสอบความเชื่อของเราว่าเราจะยอมให้จิตวิญญาณของเราเคลิ้มหลับไป หรือว่าเราจะปลุกจิตวิญญาณของเราให้ตื่นขึ้นมาเพื่อเฝ้ารอรับเสด็จพระองค์ด้วยความเชื่ออยู่เสมอ ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาเมื่อใดก็ตาม
พระวรสารวันนี้ พูดถึงเจ้าของบ้านที่ก่อนจะออกจากบ้าน ได้สั่งคนเฝ้าประตูให้คอยตื่นเฝ้าอยู่เสมอเพื่อจะได้ “รู้จักและจำ” เจ้าของบ้านได้ จะได้เปิดประตูต้อนรับเจ้าของบ้านของตน ไม่ใช่มัวแต่ถามว่า “ใครมา? มาทำไม?” เช่นเดียวกัน อาศัยการตื่นเฝ้าด้วยความเชื่อ เราก็จะรู้จักและจดจำพระเยซูเจ้าได้ และเต็มใจที่จะเปิดประตูต้อนรับพระองค์
ปัญหาก็คือพระเยซูเจ้ามิได้เสด็จมาในรูปแบบที่เราจะรู้จักหรือจดจำพระองค์ได้ง่ายๆ
เมื่อสองพันปีก่อน พระองค์เสด็จมาเป็นพระกุมารในถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เบธเลเฮม ชาวยิวก็ไม่รู้จักและจำพระองค์ไม่ได้ ซ้ำร้ายยังนำพระองค์ไปตรึงกางเขนซะอีก
หรือในอุปมาเรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่เราได้ฟังในพระวรสารเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว พระองค์ก็เสด็จมาในรูปแบบของคนยากจน คนขัดสนและต่ำต้อย
สำหรับผู้ที่มีความเชื่อ พวกเขารู้จักและจำพระองค์ได้ พวกเขาให้อาหาร ให้น้ำ ให้เสื้อผ้า ให้ที่พัก ไปเยี่ยมพระองค์ในคุก และดูแลเอาใจใส่เมื่อพระองค์เจ็บป่วย
ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกสาปแช่ง พวกเขาคงรอคอยพระองค์เช่นกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาพลาดโอกาสที่จะรู้จักและจำพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมาหาพวกเขาในรูปแบบที่แสนจะธรรมดาๆ เป็นคนหิวโหยบ้าง กระหายน้ำบ้าง ติดคุกบ้าง เจ็บป่วยบ้าง เป็นต้น
เพราะฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องปลุกความเชื่อของเราให้ตื่นขึ้นมา โดยเฉพาะในระหว่างเทศกาลเตรียมรับเสด็จนี้ เพื่อเราจะได้รู้จักและจำพระองค์ได้ และเต็มใจรับใช้พระองค์ในชีวิตประจำวันของเรา หาไม่แล้วเมื่อพระองค์เสด็จมาในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย เราไม่มีทางคาดหวังได้เลยว่าเราจะรู้จักและจำพระองค์ได้ แล้วเราก็จะกลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ถูกสาบแช่งเสียเอง
เพราะฉะนั้น พี่น้องครับ วันนี้ ให้เราวอนขอพระเจ้าโปรดทรงเปิดตาแห่งความเชื่อของเรา เพื่อเราจะได้มองเห็นพระเยซูเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางเรา และขอพระองค์โปรดทรงเปิดใจและเปิดบ้านของเราเพื่อเราจะได้ต้อนรับพระกุมารเยซูผู้เสด็จมาหาเราทุกวันในรูปแบบของชายหญิงที่มีความจำเป็นและขัดสน เพราะนี่คือการเตรียมตัวต้อนรับพระเยซูเจ้าที่ดีที่สุด