บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2023 สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 606
วันที่ 25 พฤษภาคม 2020 จอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวสีตายเพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เมื่อปี 1830 (190 ปีที่แล้ว) จอร์จ วิลสัน ชาวอเมริกันผิวขาวได้ฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ เขาถูกจับและถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอ ประธานาธิบดี (คนที่ 7 ของอเมริกา) แอนดรูว์ แจคสัน ได้อภัยโทษประหารให้แก่เขา แต่เขาปฏิเสธที่จะรับการอภัยโทษ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไม่รู้จะดำเนินการต่อไปอย่างไร จึงส่งเรื่องให้ศาลสูงพิจารณา ประธานศาลสูงตัดสินว่า “การอภัยโทษเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง คุณค่าของมันขึ้นอยู่กับว่าผู้รับการอภัยจะยอมรับมันหรือไม่ หากไม่ยอมรับมันก็ไม่ใช่การอภัย” ผลก็คือจอร์จ วิลสันถูกแขวนคอสมใจอยาก
พี่น้องครับ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับโทษประหารชีวิตหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือหลักการที่ว่า “การอภัยใดๆ จะมีผลก็ต่อเมื่อผู้รับ ยอมรับการอภัย” เท่านั้น
และนี่คือประเด็นของพระวรสารวันนี้ เมื่อพระเจ้าทรงให้อภัยแก่เรา จำเป็นที่เราจะต้องตอบรับการอภัยของพระองค์ หาไม่แล้วเราก็จะไม่ได้รับการอภัย และวิธีตอบรับการให้อภัยของพระองค์ ต้องไม่ใช่แค่พูดว่า “อาแมน” เท่านั้น แต่เราต้องลงมือยกหนี้ หรือให้อภัยแก่ผู้อื่นด้วย
ในนิทานเปรียบเทียบเรื่อง “ลูกหนี้ไร้เมตตา” ที่เราได้ฟังในพระวรสารวันนี้ มีประเด็นหนึ่งที่น่าตกใจ ซึ่งเราควรต้องตั้งใจฟังให้ดีด้วย
กษัตริย์ยกหนี้จำนวนมหาศาลให้ผู้รับใช้แล้วก็จริง แต่เมื่อผู้รับใช้คนนั้นออกไป แล้วไม่ยอมยกหนี้ซึ่งเล็กน้อยกว่ามากให้แก่เพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน สิ่งที่กษัตริย์ทำก็คือยกเลิกการอภัยที่ได้ให้ไปแล้ว กษัตริย์ตรัสว่า “เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ” แล้วกษัตริย์ก็ให้นำผู้รับใช้คนนั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้หมดสิ้น
และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำกับเรา ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้พระเจ้าจะเอ่ยปากให้อภัยแก่เราผ่านทางพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปแล้วก็ตาม แต่ทุกอย่างยังไม่จบสิ้นนะ การให้อภัยของพระเจ้าจะครบสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเราตอบรับการให้อภัยด้วยการให้อภัยแก่ผู้อื่นด้วย
หนังสือบุตรสิราซึ่งเราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้จึงกล่าวว่า “จงให้อภัยเพื่อนบ้านที่ทำผิดต่อท่าน แล้วบาปของท่านจะได้รับการอภัย”
พระเยซูเจ้าเองก็ทรงสอนให้เราภาวนาว่า “โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น” !
พี่น้องครับ ในเมื่อ “เราจำเป็นต้องให้อภัยผู้อื่นเพื่อจะได้รับการอภัยจากพระเจ้า” แล้วทำไมการให้อภัยผู้อื่นมันจึงยากเย็นนัก ?
จากพระวรสารวันนี้ เราพอจะทราบว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราให้อภัยผู้อื่นยากคงเป็นเหมือนผู้รับใช้ไร้เมตตาผู้นั้น นั่นก็คือ เรามัวแต่ยึดติดอยู่กับหนี้ที่ผู้อื่นติดค้างเราเพียงน้อยนิด แต่กลับไม่ตระหนักถึงหนี้จำนวนมหาศาลที่พระเจ้าทรงยกให้แก่เรา
ในนิทานเปรียบเทียบวันนี้ ผู้รับใช้เป็นหนี้กษัตริย์พันล้านบาท ซึ่งตามต้นฉบับภาษากรีกคือ 10,000 ตะลันต์
ตะลันต์เป็นหน่วยวัดน้ำหนัก หนึ่งตะลันต์ของฮีบรูหนัก 34.2 กิโลกรัม
เมื่อนำเหรียญที่ใช้ในสมัยนั้นมาชั่ง เหรียญน้ำหนัก 1 ตะลันต์จะมีจำนวนประมาณ 6,000 เหรียญ (dēnarion)
ผู้รับใช้คนนั้นเป็นหนี้กษัตริย์หนึ่งหมื่นตะลันต์ก็เท่ากับหกสิบล้านเหรียญ
จากนิทานเปรียบเทียบเรื่องคนงานในสวนองุ่น (มธ 20:1-16) ทำให้เราทราบว่าค่าแรงงานขั้นต่ำในสมัยพระเยซูเจ้าตกวันละ 1 เหรียญ
ด้วยค่าแรงขั้นต่ำวันละ 1 เหรียญ ผู้รับใช้คนนั้นจะต้องทำงาน 60 ล้านวันจึงจะใช้หนี้กษัตริย์ได้หมด
หากเราทำงานปีละ 365 วันโดยไม่มีวันหยุด ก็จะใช้เวลาชำระหนี้ 164,383 ปี
ส่วนหนี้ของเพื่อนผู้รับใช้มีไม่กี่พันบาท หรือเพียง 100 เหรียญตามต้นฉบับภาษากรีก ซึ่งเท่ากับค่าแรงงานขั้นต่ำแค่ 100 วัน เราใช้หนี้ไม่กี่เดือนก็หมดแล้ว
ฟังดูเหมือนเวอร์ !
แต่หนี้ที่พระเจ้าทรงยกให้แก่เรานั้นมันมากกว่า 10,000 ตะลันต์มากนัก เพราะบาปของเราทำให้พระบุตรแต่เพียงพระองค์เดียวของพระเจ้าต้องสิ้นพระชนม์
ชีวิตของพระบุตรจะมีมนุษย์หน้าไหนชดใช้ไหว ?
ต่อให้คริสตชนทั่วโลกทำกิจใช้โทษบาปร่วมกันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับจะลบล้างบาปแม้เพียงประการเดียว
แต่ด้วยพระเมตตาอันไม่มีขอบเขตของพระเจ้า พระองค์ทรงส่งพระบุตรแต่เพียงพระองค์เดียวมายอมตายบนไม้กางเขนเพื่อใช้หนี้บาปแทนเรา และสิ่งเดียวที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากเราก็คือ ให้เราตระหนักถึงความรักและความเมตตาที่พระองค์ทรงมีต่อเรา เราจะได้มีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนพี่น้องของเราเช่นเดียวกัน
ก็ในเมื่อพระเจ้ายังให้อภัยเราได้ แล้วเราจะให้อภัยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองไม่ได้เชียวหรือ?
บทอ่านที่หนึ่งวันนี้จึงย้ำว่า “ถ้าเราไม่มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราจะกล้าอธิษฐานภาวนาขออภัยบาปของตนได้อย่างไร”
พี่น้องครับ หากเราเป็นหนึ่งในพวกที่ให้อภัยผู้อื่นยาก นั่นคงเป็นเพราะเราไม่ได้ตระหนักและซาบซึ้งถึงความรักและการอภัยที่เราได้รับจากพระเจ้าอย่างเพียงพอ เพราะฉะนั้น วันนี้ ให้เราวอนขอพระองค์โปรดให้เรามีความซาบซึ้งมากยิ่งขึ้นในความรักที่พระองค์ทรงแสดงออกในพระเยซูเจ้า เพื่อเราจะได้ให้อภัยความผิดที่ผู้อื่นกระทำต่อเราได้ง่ายขึ้น และไม่ใช่ให้อภัยเพียงครั้งเดียว แต่ต้องให้อภัยเจ็ดครั้งเจ็บสิบหน ดังที่พระองค์ทรงสอนเราในวันนี้