600 ปีก่อนพระเยซูเจ้า พระเจ้าตรัสผ่านประกาศกเอเสเคียลว่า “ประชากรของเราเอ๋ย เรากำลังจะเปิดหลุมศพของท่านและยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ ท่านจะรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่าน และยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ”
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงทำให้คำสัญญาของพระเจ้าในอดีตเป็นความจริง พระองค์ทรงเปิดหลุมศพของลาซารัส ทำให้ลาซารัสกลับคืนชีพและออกมาจากหลุมศพ
ในบรรดาอัศจรรย์ทั้งหมดของพระเยซูเจ้า การทำให้ลาซารัสกลับคืนชีพถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนในสมัยของพระองค์ตื่นเต้นและอัศจรรย์ใจมากที่สุด
     เหตุผลก็เพราะชาวยิวเชื่อกันว่าวิญญาณของผู้ตายยังคงวนเวียนอยู่เหนือหลุมศพเพื่อหาทางกลับเข้าร่างของผู้ตายอีกสามวัน หลังจากสามวันแล้ววิญญาณจะจากไปแบบไม่มีวันกลับ เพราะศพเริ่มเน่าเปื่อยจนวิญญาณไม่อาจจดจำใบหน้าของผู้ตายได้อีกต่อไป
     เมื่อมารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาถึงสี่วัน” เท่ากับนางกำลังบอกพระองค์ว่า หมดหวังแล้ว ลาซารัสไม่มีทางฟื้นคืนชีพอีกแล้ว
ทั้งๆ ที่หมดหวังแต่ยังมีความหวัง นี่แหละคือฤทธิ์กุศล ดังที่ Chesterton (29 พ.ค. 1874–14 มิ.ย. 1936) ซึ่งเป็นนักปรัชญาและนักเทวศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าวไว้ว่า “ความหวังหมายถึงการหวังในสิ่งที่หมดหวัง หาไม่แล้วก็ไม่ใช่ฤทธิ์กุศล”
ชาวยิวถือว่าการคืนชีวิตให้แก่คนที่ตายไปแล้วสี่วันเป็นเรื่องที่แม้แต่จะคิดก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวัง
     แต่อัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าครั้งนี้เตือนใจเราว่า “อย่าหมดความหวังแม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะสิ้นหวัง” ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับพระเจ้าที่จะทำให้ผู้ใดก็ตามกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก
     แต่เพื่อพระเจ้าจะทำเช่นนั้นได้ เราจำเป็นต้องร่วมมือกับพระองค์โดยการนบนอบพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย !
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสสั่ง 3 ครั้งด้วยกัน และทุกคนก็นบนอบเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข
คำสั่งแรก พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงยกแผ่นหินออก” คนเหล่านั้นก็ยกแผ่นหินออก
     ถามว่าคนเหล่านั้นเข้าใจไหมว่าทำไมต้องยกแผ่นหินหนักๆ ออกมาเพื่อให้กลิ่นเหม็นเน่าของศพโชยออกมาอีก? แน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจ และก็ไม่ได้เห็นด้วยกับพระเยซูเจ้า แต่พวกเขาลงมือปฏิบัติด้วยความนบนอบเชื่อฟัง
เหตุที่พระองค์มิได้สั่งให้แผ่นหินกลิ้งออกมาเองก็เพราะพระองค์จะไม่ทำอัศจรรย์ในสิ่งที่เราสามารถทำได้อาศัยความนบนอบเชื่อฟังของเราเอง
คำสั่งที่สอง พระองค์ทรงสั่งแม้กับคนตายว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” ผู้ตายก็ออกมา
     เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหลุมศพ เรารู้แต่เพียงว่าเมื่อพระเยซูเจ้าสั่ง ลาซารัสก็นบนอบเชื่อฟังทันที เขาเดินออกมา มีผ้าพันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าติดมาด้วย
เห็นไหม แม้แต่คนที่ตายและเน่าเปื่อยอยู่ในหลุมศพก็ยังทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อช่วยเหลือตนเองได้
คำสั่งที่สาม พระเยซูเจ้าทรงสั่งฝูงชนว่า “จงเอาผ้าออกและให้เขาไปเถิด”
     แม้ลาซารัสจะเดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากหลุมศพได้ แต่เขาไม่มีทางที่จะแก้ผ้าพันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าออกด้วยตัวเองได้ เขาจำเป็นต้องให้คนอื่นช่วย
     ทุกวันนี้ เราคริสตชนจำนวนมากก็ตายไปแล้ว ตายเพราะบาปที่เรากระทำ เราต่างก็อยู่ในหลุมศพที่กำลังเน่าเปื่อยและดูเหมือนกำลังจะสิ้นหวัง เพราะต่างก็ถูกพันธนาการด้วยนิสัย ด้วยความเคยชิน ทั้งด้วยความคิด ด้วยคำพูด และด้วยการกระทำที่เป็นบาปของเรา
     แต่ไม่มีอะไรที่พระเยซูเจ้าจะทำไม่ได้ พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้วก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่มีวันตายเลย” นอกจากนี้พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เรามาเพื่อให้แกะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” (ยน 10:10)
ทุกวันนี้ พระเยซูเจ้ายังทรงพร้อมที่จะช่วยเราเหมือนที่ทรงช่วยลาซารัสเมื่อสองพันปีก่อน เราสามารถหวังและพึ่งพระองค์ได้อย่างเต็มเปี่ยม เพียงแต่เราต้องถามตัวเองวันนี้ว่า “เราพร้อมจะร่วมมือกับพระองค์เพื่อให้อัศจรรย์อย่างที่เกิดกับลาซารัส บังเกิดกับตัวเราหรือไม่ ?”
     เราพร้อมจะกลิ้งก้อนหินที่ปิดบังเราจากพระพักตร์อันเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาของพระองค์หรือไม่ ?
     เราพร้อมจะเริ่มย่างก้าวแรกออกมาจากสถานที่ จากความเคยชินที่ทำให้เราตกในบาปแล้วก็ตายหรือไม่ ?
     เราพร้อมจะช่วยกันแก้เครื่องพันธนาการของกันและกัน คือให้อภัยซึ่งกันและกัน แล้วก็ปล่อยให้เพื่อนพี่น้องของเราเป็นอิสระ พร้อมจะลุกขึ้นมาใหม่ มามีความสัมพันธ์อันดีกับเราใหม่อีกครั้งหรือไม่ ?
นี่คือหนทางที่เราจะร่วมมือกับพระเยซูเจ้าเพื่อทำให้อัศจรรย์แห่งการกลับคืนชีพบังเกิดกับตัวเรา เราจะได้มีชีวิตใหม่พร้อมกับพระเยซูเจ้าในโอกาสสมโภชปัสกาที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้