มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

     เมื่อปี 1789 ขณะที่สภาผู้แทนของรัฐคอนเนคติกัตกำลังประชุมอยู่ ทันใดนั้นท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง Hartford ซึ่งเป็นที่ตั้งของสภาก็มืดมนลง สมาชิกสภาบางคนมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็พูดกันว่านี่คื่อเครื่องหมายว่ากำลังจะสิ้นโลก จากนั้นเสียงเอะอะวุ่นวายลั่นสภาก็ตามมา พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกร้องให้เลื่อนการประชุมออกไป แต่พันเอก Davenport ซึ่งเป็นโฆษกของสภาผู้แทนลุกขึ้นพูดว่า “ท่านสุภาพบุรุษ วันสิ้นโลกหรือวันพิพากษาอาจจะกำลังมาหรือไม่มาก็ได้ ถ้าไม่มาก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องเลื่อนประชุม แต่ถ้ากำลังมา ข้าพเจ้าก็ขอเลือกที่จะถูกพบว่ากำลังทำหน้าที่อยู่ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้นำเทียนมาจุด” ที่สุด เทียนก็ถูกนำมาจุดและการประชุมก็ดำเนินต่อไป
     พี่น้องครับ พระวรสารวันนี้พูดถึงวันสิ้นโลก วันที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาพิพากษามนุษย์ พร้อมกับบอกวิธีเตรียมตัวสำหรับต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระองค์ด้วย
เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระเยซูเจ้านี้ เรามักทำผิดพลาดแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกัน กลุ่มแรกเตรียมตัวต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระองค์ด้วยความกลัว ด้วยความกระวนกระวาย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งตรงกันข้ามเลย คือไม่สนใจไยดีและไม่เตรียมตัวอะไรเลย
     วันนี้ พระเยซูเจ้าบอกเราในพระวรสารว่า “ท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร” นั่นคือเราไม่มีทางรู้เลยว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเมื่อใด หรือวันสิ้นโลกจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ที่พระองค์บอกให้เรารู้ก็คือมันจะมาถึงเหมือนในสมัยของโนอาห์
     ในสมัยของโนอาห์ผู้คนมัวแต่กิน ดื่ม และแต่งงาน โดยไม่มีใครนึกระแวงว่าจะเกิดน้ำวินาศ แล้วน้ำวินาศก็เกิดขึ้นจริงๆ มันกวาดล้างพวกเขาไปหมดสิ้นเลย
แล้วพระองค์ยังตรัสอีกว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย” ก็แปลว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงในเวลาที่เราไม่คาดฝันและก็ไม่ได้เตรียมตัวเหมือนอย่างในสมัยของโนอาห์นี่แหละ
อีกเรื่องหนึ่งที่พระเยซูเจ้าบอกเราในพระวรสารวันนี้ก็คือ วันสิ้นโลกมันจะมาเหมือนขโมย เวลาขโมยจะเข้างัดแงะบ้านใดเขาจะไม่บอกกล่าวหรือเตือนเจ้าของบ้านล่วงหน้า วันสิ้นโลกก็จะมาแบบทันทีทันใดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเช่นกัน
     ในเมื่อวันสิ้นโลกจะมาแบบไม่คาดฝันและไม่มีการเตือนล่วงหน้า เพราะฉะนั้น เราต้องเป็นเจ้าบ้านที่ฉลาด คือต้องเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
     แน่นอนว่า การเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่เสมอไม่ได้หมายความว่าเราต้องจดจ่อคอยฟังคำทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลกด้วยความตื่นตระหนก ซึ่งทุกวันนี้ คำทำนายทำนองนี้มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
แต่การเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่เสมอควรจะเป็นเหมือนที่พันเอกดาเวนพอร์ตพูดคือ เราควรที่จะขยันหมั่น เพียร ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งในฐานะที่เป็นบุตรของโลกนี้ และในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย
     ในฐานะที่เป็นบุตรของโลกนี้ พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่างของผู้รับใช้ที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้เราฟังต่อจากพระวรสารวันนี้
     ทั้งๆ ที่นายไม่อยู่ ผู้รับใช้คนนี้ก็ทำหน้าที่ที่นายมอบหมายให้อย่างซื่อสัตย์ เขาเอาใจใส่ดูแลและแจกจ่ายอาหารให้แก่ผู้รับใช้คนอื่นๆ ตามกำหนด พระเยซูเจ้าบอกว่าผู้รับใช้คนนี้เป็นสุขเมื่อนายกลับมาโดยไม่คาดฝัน และพบเขากำลังทำหน้าที่ที่นายสั่งเช่นนี้
     เช่นเดียวกัน ในการเตรียมพร้อมต้อนรับพระเยซูเจ้าที่จะเสด็จกลับมาในเวลาที่ไม่มีใครคาดฝันและไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ คงไม่มีหนทางใดดีไปกว่าการทำตามหน้าที่ของเราในโลกนี้อย่างซื่อสัตย์ทุกๆ วันตลอดชีวิตของเรา
      และในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า หน้าที่ของเราคือตื่นขึ้นจากความหลับใหล
     คริสตชนยุคเริ่มแรกนิยมใช้คำว่าหลับใหล เพื่อหมายถึงชีวิตที่ตกอยู่ในบาปและเอาแต่ใจตัวเอง วันนี้นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สองว่า “บัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องตื่นขึ้นจากความหลับ ขณะนี้ความรอดพ้นอยู่ใกล้เรามากกว่าเมื่อเราเริ่มมีความเชื่อ กลางคืนล่วงไปมากแล้ว กลางวันก็ใกล้จะมาถึง” และในจดหมายถึงชาวเธสะโลนิกา นักบุญเปาโลยังเตือนอีกว่า “ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น จงตื่นอยู่เสมอ... เราจงรู้จักประมาณตน จงสวมความเชื่อและความรักเป็นเกราะป้องกัน จงสวมความหวังที่จะได้รับความรอดพ้นเป็นเกราะป้องกันศีรษะ” (1 ธส 5:6-8)
     เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า การเฝ้าระวังและการเตรียมพร้อมจึงหมายถึงให้เรา “ตื่นขึ้นจากความหลับ รู้จักประมาณตน” และดำเนินชีวิตอยู่ในความเชื่อ ความหวัง และความรัก รับใช้พระเจ้าด้วยความพากเพียร อีกทั้งดำรง ชีวิตอยู่ในพระหรรษทานของพระองค์ทุกวันเวลา
     พี่น้องครับ การจดจ่ออยู่กับคำทำนายหรือการคำนวนหาวันสิ้นโลกนั้น มันไม่มีประโยชน์ เพราะพระเยซูเจ้าอาจจะเสด็จมาพิพากษาเราแต่ละคนวันใดและเวลาใดก่อนวันสิ้นโลกก็ได้ วันที่พระองค์เสด็จมาพิพากษาเราก็คือวันที่เราสิ้นใจ ในวันที่เราสิ้นใจเราจะถูกพิพากษาทีละคน และเมื่อถึงวันสิ้นโลก พระองค์จะทรงพิพากษามวลมนุษยชาติพร้อมกัน ที่เราเรียกว่าวันพิพากษาประมวลพร้อม
      เพราะฉะนั้น โอกาสที่เราเริ่มต้นปีพิธีกรรมใหม่ คือปี A ในวันนี้ ขอให้เราคิดใหม่ คิดว่าวันที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาครั้งที่สองหรือวันสิ้นโลกนั้นอยู่ใกล้เรามาก ใกล้เท่ากับวันสิ้นใจของเรา ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นวันใด และเวลาใดก็ได้ จึงขอให้เราตื่นเฝ้าและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพื่อว่าไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาหาเราเวลาใด เราจะไม่ถูกทิ้งไว้ แต่จะพร้อมเสมอที่จะติดตามพระองค์ไปสู่ความรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดร

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown