มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

มีเรื่องเล่าว่าชายคนหนึ่งตกลงมาจากหน้าผา ขณะที่ร่วงลงมาได้ครึ่งทางเขาสามารถยึดกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากหน้าผาไว้ได้และก็ห้อยต่องแต่งอยู่อย่างนั้น จะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ จะลงก็ลงไม่ได้ เขารู้ดีว่าถ้าตกลงไปมีหวังตายแน่ เขาจึงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วตะโกนว่า “มีใครอยู่ข้างบนมั้ย?” ปรากฏว่ามีเสียงดังมาจากท้องฟ้า “มี เราเอง เราคือพระเจ้า เจ้าเชื่อในเราไหม?” เขาตะโกนกลับไปว่า “เชื่อพระเจ้าข้า ข้าพเจ้าเชื่อในพระองค์ ข้าพเจ้าเชื่อจริงๆ โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย” พระเจ้าตรัสว่า “ดีแล้ว ถ้าเจ้าเชื่อในเราก็ไม่ต้องวิตกกังวล เราจะช่วยเจ้าเอง เอาละ ปล่อยมือจากกิ่งไม้ซะ” ชายคนนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตะโกนกลับไปว่า “มีคนอื่นอยู่ข้างบนอีกมั้ย?”

พี่น้องคิดว่าชายคนนี้มีความเชื่อมั้ย?
แน่นอน เขามีความเชื่อ เขาเชื่อว่ามีพระเจ้า เขาเชื่อในพลังอำนาจของการสวดภาวนา เขาเชื่อด้วยว่าพระเจ้าสามารถช่วยเขาให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันเลวร้ายที่เขากำลังเผชิญอยู่ได้ เขาจึงสวดภาวนาวอนขอพระองค์ให้ช่วย
แต่... แต่ถ้าเขาเชื่อพระเจ้าจริงๆ ตามที่เขาอ้าง ทำไมเขาจึงไม่ปฏิบัติตามที่พระองค์บอกล่ะ? ทำไมเขาจึงไม่ยอมปล่อยมือจากกิ่งไม้? เขาคิดว่าพระเจ้าช่วยเขาไม่ได้รึไง?
พี่น้องฟังเรื่องนี้แล้วอาจขำไม่ออก ที่ขำไม่ออกก็เพราะเราเองก็เป็นเหมือนชายคนนี้ เราเชื่อในพระเจ้าก็จริง แต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก หรือเมื่อสิ่งต่างๆ มันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง เราก็ไม่ฟังพระองค์และหันไปพึ่งความช่วยเหลือจากแหล่งอื่น เช่น จากหมอดูบ้าง หมอเดาบ้าง จากเหล้ายาปลาปิ้ง ฯลฯ บ้าง
เห็นไหม เราเป็นคนที่มีความเชื่อน้อย !
และไม่ใช่เฉพาะเราที่มีความเชื่อน้อย พระวรสารวันนี้บอกว่า บรรดาอัครสาวกก็เป็นคนที่มีความเชื่อน้อยเหมือนเรา พวกเขาเชื่อในพระเยซูเจ้าและติดตามพระองค์ก็จริง แต่เมื่อเห็นทหารมาจับกุมพระองค์ในสวนเกทเสมณี พวกเขาก็ละทิ้งพระองค์แล้วหนีไป
แต่ความแตกต่างระหว่างเรากับบรรดาอัครสาวกก็คือ เรามักมองว่าตัวเราเองมีความเชื่อเพียงพอแล้วในขณะที่บรรดาอัครสาวกมองว่าตนยังมีความเชื่อไม่เพียงพอ พวกเขาจึงวอนขอพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด”
เราคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “คนที่ไม่รู้และไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ คือคนโง่ ส่วนคนที่ไม่รู้แต่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ คือคนฉลาด” บรรดาอัครสาวกจึงเป็นคนฉลาดที่รู้ว่าตนเองมีความเชื่อไม่เพียงพอ จึงเริ่มย่างก้าวที่จะปรับปรุงความเชื่อของตนให้ดียิ่งขึ้นด้วยการวอนขอพระเยซูเจ้าให้ช่วย
คำถามก็คือเราเริ่มย่างก้าวปรับปรุงความเชื่อของเราตลอดปีที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง? เราเคยเข้าเงียบ เข้าร่วมสัมมนาหรือศึกษาพระคัมภีร์กี่ครั้ง? เราอ่านหนังสือศรัทธากี่เล่ม? มีหนทางมากมายที่พระเจ้าจะทรงใช้เพื่อเพิ่มพูนความเชื่อให้แก่เรา
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงตอบคำวอนขอของบรรดาอัครสาวกที่ต้องการให้พระองค์เพิ่มพูนความเชื่อให้ โดยทรงยกอุปมาเรื่องคนรับใช้ที่กลับจากไถนาในทุ่งนาแล้วรีบกลับมาเตรียมอาหารให้เจ้านาย แล้วคอยรับใช้จนกว่าเจ้านายจะกินเสร็จ จากนั้นตนเองจึงค่อยกิน
พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องให้เจ้านายอิ่มก่อน คนรับใช้จึงจะทำตามความต้องการของตนเอง คือกินและพักผ่อนได้
แล้วอุปมาเรื่องนี้สอนให้บรรดาอัครสาวกและพวกเรามีความเชื่อเพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
     คำตอบก็คือ พระเยซูเจ้าต้องการสอนเราว่า ถ้าเรามีความเชื่ออย่างแท้จริง ทุกห้วงเวลาตลอดชีวิตของเรา เราก็คงปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าและทำให้พระองค์พอพระทัยก่อน ถ้าเรามีความเชื่อ เราจะไม่บ่นและเรียกร้องจากพระเจ้าว่าเราทำงานมาตลอดวันแล้ว เราเหนื่อย ตอนนี้เป็นเวรของพระองค์ที่จะต้องรับใช้และตอบสนองความต้องการของเราบ้าง แต่ตรงกันข้าม เราจะลืมคิดถึงตนเองแล้วรับใช้พระเจ้าจนตาย โดยตระหนักอยู่เสมอว่าพระองค์จะเสด็จมาช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน ดังที่พระองค์ตรัสผ่านประกาศกฮาบากุกที่ร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในบทอ่านที่หนึ่งว่า “แม้ความช่วยเหลือจะล่าช้าไปบ้าง ก็จงคอยสักระยะหนึ่ง ความช่วยเหลือนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ผู้ที่ไม่เชื่อก็จะล้มลง แต่ผู้ที่เชื่อก็จะมีชีวิต”
     เราต้องไม่ลืมว่า การเชื่อว่าตนเองจะรอดพ้นจากปัญหา (รอดตาย) ไม่ได้แปลว่าเราเชื่อในพระเจ้า แต่ความเชื่อนั้นหมายความว่า ไม่ว่าเราจะรอดพ้นจากปัญหาเวลานี้หรือไม่ก็ตาม เราก็ยังยึดมั่นอยู่ในความเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักและทรงเอาใจใส่เรา นี่คือความผิดพลาดของชายที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางหน้าผา เขาเชื่อว่าตัวเองจะหาทางเอาตัวรอดได้ แต่ไม่ได้เชื่อในพระฤทธานุภาพอันไม่มีขอบเขตและความรักอันไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม ความรักอันไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าก็เรียกร้องให้เรารักและรับใช้พระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นเดียวกัน
ทุกวันนี้ มีคริสตชนจำนวนมากคิดว่าถ้าตนเองมีความเชื่อจริงๆ ก็จะสามารถเรียกร้องอัศจรรย์จากพระเจ้าคือให้พระองค์ตอบแทนเราได้ แต่นี่เป็นความคิดที่ผิด เพราะความจริงที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราวันนี้ก็คือ ความเชื่อที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าพระเจ้าจะทรงตอบสนองความต้องการของเรามากน้อยแค่ไหน แต่อยู่ที่เราเต็มใจรับใช้พระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข และต้องไม่คิดว่าพระองค์เป็นลูกหนี้ที่จะต้องตอบแทนเรา ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ”
ในมิสซาวันนี้ ให้เราร่วมใจกับบรรดาอัครสาวก วอนขอพระเยซูเจ้าว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” และขอพระองค์โปรดให้พระพรของพระจิตเจ้าที่เราได้รับเมื่อคราวรับศีลล้างบาปและศีลกำลังนั้น ลุกโชติช่วงขึ้นมา เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงพระองค์และยึดมั่นอยู่ในพระวาจาของพระองค์ ดังที่นักบุญเปาโลกำชับทิโมธีในบทอ่านที่สองวันนี้

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown