บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 957
พระวรสารวันนี้เล่าว่า “ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า” โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม
พระองค์รู้ดีว่า ไปกรุงเยรูซาเล็มก็คือไปตายบนไม้กางเขน !
แต่ประชาชนที่ติดตามพระองค์ไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มก็เพื่อรวบรวมกำลังพลสำหรับกอบกู้เอกราชจากโรม และทำให้ชนชาติยิวกลับมายิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนในยุคสมัยของกษัตริย์ดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์
พระองค์จึงต้องเปลี่ยนความคิดของพวกเขาด้วยการตรัสว่า “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้”
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมพระองค์จึงเรียกร้องมากจัง !
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ต้นฉบับภาษากรีกยังใช้คำว่า “มีแซโอ” ซึ่งแปลว่า “เกลียด” เสียอีก ดังนั้นหากแปลตามต้นฉบับเราจะได้ความว่า “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่เกลียดบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้”
และเพราะมีบางคนตีความตามตัวอักษรเช่นนี้เอง ผู้คนจึงเข้าใจว่าศาสนาคริสต์สอนให้เกลียดชังบิดามารดาของตนเอง
อันที่จริงนี่คือเสน่ห์ของภาษาฮีบรูและภาษาทางตะวันออกอื่นๆ รวมถึงภาษาไทยที่นิยมพูดจาให้ “เห็นจริงเห็นจัง” มากที่สุดเท่าที่สติปัญญาของมนุษย์จะจินตนาการได้ เช่นสำนวนไทยที่ว่า ฝนทั่งให้เป็นเข็ม หรือ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เป็นต้น
คำเกลียดจึงถูกนำมาใช้เพื่อให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการชนิดเห็นจริงเห็นจังว่า “หากผู้ใดไม่พร้อมจะสละทุกสิ่งที่ตนรัก เพื่อมาร่วมชะตากรรมแบบเดียวกับที่พระเยซูเจ้ากำลังจะได้รับในกรุงเยรูซาเล็ม ผู้นั้นย่อมเป็นศิษย์ของพระองค์ไม่ได้”
จะเห็นว่าคำเกลียดในที่นี้บ่งบอกถึง “การไม่มีพันธะผูกพัน” เพื่อเราจะได้เป็นอิสระ และไปร่วมชะตากรรม “แบกกางเขน” กับพระเยซูเจ้าได้ หาได้มีเจตนายุยงปลุกปั่นให้ผู้หนึ่งผู้ใดเกลียดชังบิดามารดา ภรรยา บุตร หรือพี่น้องชายหญิงของตนแต่ประการใดไม่
นอกจากจะเป็นวิธีพูดเพื่อให้เห็นจริงเห็นจังแล้ว เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ พระคัมภีร์ใช้คำ “เกลียด” เพื่อหมายถึง “รักน้อยกว่า” เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้” จึงบ่งบอกวัตถุประสงค์ของพระองค์ได้ 2 ประการด้วยกัน กล่าวคือ
ประการแรก ให้เรา รักผู้อื่นน้อยกว่าพระองค์ เพื่อเราจะเป็นอิสระจากพันธะทั้งปวงและสามารถดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ดังได้กล่าวมาแล้ว
ประการที่สอง ให้เรา รักพระองค์มากกว่าผู้อื่น ซึ่งหากฟังผ่านๆ ดูเหมือนพระองค์จะเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง !
แต่พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพราะทรงปรารถนาดีและทรงรักเราจริง เพราะความรักตามประสามนุษย์ย่อมมี “ความเห็นแก่ตัว” เจือปนอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ชายหญิงที่บอกว่ารักกันปานจะกลืนกินนั้น จริงๆ แล้วต่างฝ่ายต่างก็คิดถึงความสุขและความมั่นคงของตนเองเป็นที่ตั้งด้วยกันทั้งนั้น
ต่อเมื่อเรารักพระเยซูเจ้ามากกว่าผู้อื่น ความรักแบบ “อากาเป” ของพระองค์ก็จะเปลี่ยนความรักที่เจือปนด้วยความเห็นแก่ตัวของเราให้เป็นความรักที่มีแต่ “ให้” และคิดคำนึงถึงความดีและความสุขสูงสุดของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง
เมื่อต่างคนต่างคิดถึงผู้อื่นก่อนเช่นนี้ ครอบครัวที่รักพระเยซูเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด จึงมีแต่ความรักที่แท้จริงและมั่นคงยืนยาว !
ความรักต่อพระเยซูเจ้าเหนือสิ่งอื่นใดนี้ นอกจากจะทำให้ชีวิตครอบครัวมีความรักกันอย่างแท้จริงและมั่นคงแล้ว ยังจะทำให้ชีวิตสังคมโดยรวมมีความสงบสุขเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างใดๆ ทั้งสิ้นอีกด้วย
ตัวอย่างเช่นนักบุญเปาโลในบทอ่านที่สองวันนี้ ท่านขอร้องฟีเลโมนที่ท่านเคยโปรดศีลล้างบาปให้และเป็นเจ้าของทาส ให้ต้อนรับโอเนสิมัสซึ่งเป็นทาสที่หลบหนี (จากโคโลสี) มาอยู่ที่กรุงโรม ให้กลับไปอยู่ด้วย ไม่ใช่ในฐานะทาสอีกต่อไป แต่ในฐานะที่เป็นน้องชาย เป็นเพื่อนมนุษย์ และเป็นพี่น้องหนึ่งเดียวกันในองค์พระเยซูเจ้า
ท่านยังย้ำในจดหมายถึงชาวกาลาเทียด้วยว่า “ไม่มีชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่มีทาสหรือไทย ไม่มีชายหรือหญิงอีกต่อไป เพราะท่านทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเยซู” (กท 3:28)
เพราะฉะนั้น ในระหว่างเราคริสตชน เราจะยอมให้มีความแตกต่าง ไม่ว่าทางอายุ ทางเพศ ทางเชื้อชาติ ทางฐ านะ หรือเราจะนิ่งเฉยเมื่อเห็นการกดขี่ไม่ว่าจะเป็นการกดขี่แรงงานเด็ก การกดขี่สตรีเพศ การกดขี่คนต่างด้าว หรือคนที่ฐานะต่ำกว่าเราไม่ได้
นอกจากนั้นเรายังจะต้องมุ่งมั่นและเสริมสร้างความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคนให้เห็นเด่นชัด จนว่าพี่น้องที่ไม่ใช่คริสตชน เมื่อเห็นเราดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูเจ้าเช่นนี้ พวกเขาจะพูดว่า “ดูสิ พวกเขาช่างรักกันจริงๆ”
และนี่จะทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นศิษย์ของพระองค์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ที่เดินตามพระองค์เหมือนอย่างชาวยิวที่ได้แต่เดินตามพระองค์ไปกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสองพันปีก่อน โดยไม่คิดจะร่วมชะตากรรมใดๆ กับพระองค์เลย !
พี่น้องครับ เมื่อพระองค์บอกว่าถ้าเราจะสร้างหอคอยก็ให้คำนวณค่าใช้จ่ายให้ดี หรือถ้าคิดจะรบกับข้าศึกก็ให้คำนวณกำลังพลให้ดีนั้น พระองค์ต้องการจะบอกเราว่าการเป็นคริสตชนและการเป็นศิษย์ติดตามพระองค์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเราไม่ยอมสละทุกสิ่งที่เรามี เราก็เป็นศิษย์ของพระองค์ไม่ได้
ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้า โปรดให้เรายิ่งวันยิ่งรักพระองค์มากยิ่งขึ้น พระองค์จะได้เปลี่ยนหัวใจของเราให้มีความรักแบบอากาเปเช่นเดียวกับพระองค์ เราจะได้รักคนอื่นก่อนรักตนเอง และปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขก่อนจะคิดถึงความสุขของตนเอง เพื่อครอบครัวของเราและสังคมของเราจะได้มีแต่ความสงบสุข ความเสมอภาค และทุกคนก็จะรู้ว่าเราเป็นศิษย์ของพระองค์อย่างแท้จริง