มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา

พระวรสารวันนี้ หากฟังเผินๆ ดูเหมือนพระเยซูเจ้ากำลังสอนเราให้รู้จักมีมารยาทในการเลือกที่นั่งเมื่อได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยง แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาของคริสตชนยุคเริ่มแรกซึ่งพระวรสารทุกเล่มถือกำเนิดขึ้นมา เราจะพบว่างานเลี้ยงส่วนใหญ่ของพวกเขาก็คืองานเลี้ยงในบูชามิสซา
     เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาว่า ถ้าเราได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยง จงอย่านั่งในที่ที่มีเกียรติ แต่จงนั่งในที่สุดท้าย ก็แปลว่า พระองค์ต้องการสอนให้เรามีความสุภาพถ่อมตน โดยเฉพาะเมื่อมาร่วมงานเลี้ยงของพระองค์ในบูชามิสซา
นั่นคือเมื่อมาร่วมมิสซา เราจะปล่อยให้ฐานะทางสังคมของเราหรือความสำคัญของเราแต่ละคนไปข่มทับคนอื่นไม่ได้ เพราะเราต่างก็เป็นพี่น้องเท่าเสมอกันต่อหน้าพระเจ้า และนี่เป็นสถานที่เดียวที่ไม่ว่านายจ้างหรือลูกจ้าง เจ้านายหรือลูกน้อง คนมั่งมีหรือยากจน ล้วนเป็นพี่น้องกันและร่วมกันเรียกพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย”
     นักบุญยากอบตำหนิผู้ที่แบ่งแยกความแตกต่างทางฐานะเวลามาร่วมชุมนุมกันอย่างรุนแรงว่า “สมมุติว่า ใครคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและเสื้อผ้าหรูหราเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และขณะเดียวกันมีคนจนอีกคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามา ท่านเข้าไปต้อนรับคนแต่งตัวหรูหราและบอกเขาว่า ‘เชิญนั่งตามสบายที่นี่เถิด’ ส่วนคนจนนั้นท่านบอกเขาว่า ‘จงยืนที่นั่น’ หรือ ‘จงนั่งข้างๆ ที่วางเท้าของฉันซิ’ ท่านก็เป็นผู้เลือกชั้นวรรณะ และตัดสินโดยมาตรการเลวร้ายมิใช่หรือ” (ยก 2:2-4)
บทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือบุตรสิราก็สอนให้เรามีความสุภาพถ่อมตนเช่นเดียวกันว่า “ลูกเอ๋ย ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด จงทำด้วยความถ่อมตนเถิด แล้วท่านจะเป็นที่รักมากกว่าคนให้ของกำนัล ท่านยิ่งเป็นใหญ่มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องถ่อมตนลงมากเท่านั้น แล้วพระเจ้าจะโปรดปรานท่าน”
     ส่วนผู้ที่ยังยึดมั่นอยู่ในชนชั้นวรรณะหรือถือตนว่ามีฐานะทางสังคมสูงกว่าคนอื่น พระเยซูเจ้าทรงเตือนไว้อย่างน่ากลัวในพระวรสารวันนี้ว่า “ทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” (ลก 14:11)
เรื่องที่สองที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราวันนี้ก็คือ “เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหารกลางวันหรืออาหารค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี แต่จงเชิญคนยากจน คนพิการ คนง่อย และคนตาบอด” (ลก 14:12-13)
จะเห็นว่าพระเยซูเจ้าไม่ได้บอกให้เราเชิญทั้งคนมั่งมีและคนยากจน แต่ให้เชิญเฉพาะคนยากจนและคนพิการ ก็แปลว่า พระองค์ต้องการให้เรา ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกแก่คนยากจนและคนพิการ !
     เหตุผลก็คือ ความแข็งแรงของโซ่เส้นใดเส้นหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับข้อที่อ่อนแอที่สุดฉันใด ความแข็งแรงมั่นคงของกลุ่มคริสตชนซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ก็ย่อมขึ้นอยู่กับคนที่อ่อนแอที่สุดนั่นคือขึ้นอยู่กับคนยากจนและคนพิการฉันนั้น
นอกจากพระเยซูเจ้าจะทรงสอนเรื่องความสุภาพถ่อมตนและให้เราให้ความสำคัญกับคนยากจนและคนพิการเป็นอันดับแรกแล้ว บทอ่านที่สองวันนี้ซึ่งเป็นจดหมายถึงชาวฮีบรูยังสอนเราเกี่ยวกับการมาร่วมบูชามิสซาด้วย
ก่อนหน้านี้เคยเชื่อกันว่านักบุญเปาโลเป็นผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรู แต่ทุกวันนี้เราเชื่อกันว่า นักบุญเปาโลไม่ได้เป็นผู้เขียน และหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช่จดหมายที่ผู้เขียนและผู้รับอยู่กันคนละที่ แต่เป็นบทเทศน์ให้แก่ผู้ที่มาร่วมชุมนุมกันในบูชามิสซา
เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ก็แปลว่าผู้เทศน์ต้องการสอนผู้มาร่วมมิสซาให้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องคือ “ท่านทั้งหลายมิได้เข้าใกล้สิ่งที่ประสาทสัมผัสได้ หรือสิ่งที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง (ซึ่งมองเห็น) หรือเสียงแตร (ที่ได้ยิน) เหมือนในพระธรรมเก่าเมื่อพระเจ้าเสด็จมาพบประชาชนที่ภูเขาซีนาย
     ความหมายของผู้เทศน์ก็คือ ความยิ่งใหญ่ที่สัมผัสได้และมองเห็นได้เหมือนในพระธรรมเก่านี้ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการมาร่วมพิธีบูชามิสซา แต่เมื่อมาร่วมพิธีบูชามิสซา เรามาพบกับความจริงด้านจิตวิญญาณ 7 ประการด้วยกันคือ
(1) เราเข้ามาถึงภูเขาศิโยนและนครแห่งพระเจ้าผู้ทรงชีวิต คือ นครเยรูซาเล็มในสวรรค์ (2) เราเข้ามาถึงที่ชุมนุมฉลองชัยซึ่งมีทูตสวรรค์เหลือคณานับ (3) เรามาถึงชุมนุมของบุตรคนแรกที่ได้รับการลงชื่อไว้ในสวรรค์แล้ว (นั่นคือผู้มีความเชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่) (4) เรามาถึงองค์พระเจ้า พระตุลาการของมนุษย์ทุกคน (5) เรามาร่วมกับบรรดาจิตของผู้ชอบธรรมที่บรรลุถึงความสมบูรณ์แล้ว (นั่นคือผู้ที่ล่วงลับและไปอยู่ร่วมกับพระเจ้าแล้ว) (6) เราเข้ามาถึงองค์พระเยซูเจ้าผู้เป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และ (7) มาถึงพระโลหิต (ของพระเยซูเจ้า) ซึ่งดียิ่งกว่าโลหิตของอาแบล (ฮบ 12:22-24)
      จะเห็นว่าเราไม่ได้เข้ามาหาสิ่งที่สัมผัสได้ เห็นได้ แต่เราเข้ามาสัมผัสกับสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ เพราะฉะนั้น เพื่อที่เราจะซาบซึ้งและร่วมพิธีบูชามิสซาอย่างมีความหมายได้ สิ่งที่เราต้องการเหนืออื่นใดคือความเชื่อ !
ผู้เทศน์ยังสอนอีกว่า ในบูชามิสซา เราไม่ได้มาเพื่อพบกับสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของ แต่เรามาเพื่อพบกับบุคคล ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระตุลาการของเรา พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นคนกลาง บรรดาทูตสวรรค์ ผู้ล่วงลับ รวมทั้งเราพี่น้องผู้มีความเชื่อ เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งกับพระเจ้า กับทูตสวรรค์ และกับผู้มีความเชื่อทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ล่วงลับไปแล้ว
พี่น้องครับ หากเราได้ยินคนบ่น ว่าเวลามาวัด เพลงก็ไม่เพราะ บทเทศน์ก็น่าเบื่อ พี่น้องก็ควรจะบอกคนๆ นั้นว่า ครั้งหน้าเวลามาวัด ขอให้เขามาพร้อมกับความเชื่อมากกว่าจะมาพร้อมกับหูและตาอย่างเดียว จริงอยู่ เพลงเพราะๆ บทเทศน์ดีๆ ดอกไม้สวยๆ ล้วนมีส่วนทำให้เราซาบซึ้งในพิธีกรรมได้ แต่เหนืออื่นใด ความเชื่อนั้นสำคัญที่สุด !

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown