มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา

     มีนักธุรกิจคาทอลิกคนหนึ่งเข้าไปสวดในวัด เขากำลังต้องการเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อจะปิดดีลสำคัญทางธุรกิจ บังเอิญเขาคุกเข่าถัดจากชายคนหนึ่งซึ่งกำลังสวดภาวนาวอนขอเงิน 100 ดอลลาร์เพื่อจะนำไปชำระหนี้เร่งด่วน นักธุรกิจคนนั้นจึงล้วงกระเป๋าแล้วควักเงิน 100 ดอลลาร์ยัดใส่มือชายคนนั้น ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากวัดด้วยความยินดี จากนั้นนักธุรกิจก็ปิดตาลงและเริ่มสวดภาวนาว่า “เอาละ คราวนี้ พระองค์จะได้ตั้งใจฟังผมพูดคนเดียว !”
อีกเหตุการณ์หนึ่ง คุณ Robert Cook ซึ่งเป็นประธานของ The King’s College ในมหานครนิวยอร์ก ได้ไปพูดที่สถาบันพระคัมภีร์มูดี้ในชิคาโก เขาคุยว่า เมื่อวันก่อนเขามีโอกาสสนทนากับรองประธานาธิบดีจอร์จ บุช อีกสองชั่วโมงต่อมาก็ได้มีโอกาสพูดคุยสั้นๆ กับประธานาธิบดีโรแนล เรแกน จากนั้นเขาก็ยิ้มด้วยความภูมิใจและพูดว่า “แต่นั่นไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะวันนี้ ผมได้คุยกับพระเจ้า !”
ที่ยกตัวอย่างของนักธุรกิจและประธานของ King’s College มาพูดวันนี้ก็เพื่อจะสอนเราเรื่องการสวดภาวนา
     ในด้านบวก ตัวอย่างนี้สอนว่า แม้นักธุรกิจและผู้บริหารระดับสูงก็ยังให้เวลาและความสำคัญกับการสวดภาวนา แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็บ่งบอกว่าพวกเขาวาดภาพพระเจ้าเป็นเหมือนนายธนาคารใหญ่หรือเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจที่มั่นคง น่าเกรงขาม ซึ่งไม่ใช่ท่าทีที่ถูกต้องนักในการสวดภาวนา
     ในพระวรสารวันนี้ บรรดาศิษย์ทูลขอพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด” (ลก 11:1)
นั่นคือ พวกเขาอยากรู้ว่าท่าทีที่ถูกต้องในการสวดภาวนานั้นควรเป็นอย่างไร ?
     คำตอบของพระเยซูเจ้าอาจสรุปได้สั้นๆ ว่า ท่าทีที่ถูกต้องในการสวดภาวนาแบบคริสตชนต้องเป็นท่าทีเดียวกันกับที่ “ลูกมีต่อบิดา”
พระองค์จึงเริ่มสอนว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า ‘ข้าแต่พระบิดา’” จากนั้นพระองค์ก็ลงท้ายว่า “แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดีๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ”
เราจะเห็นได้ว่า สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว การสวดภาวนานั้นต้องเป็นเรื่องของลูกกับพ่อ เป็นเรื่องของสมาชิกในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์คุ้นเคยกันและรักกันเสมอ
ที่พระองค์สอนเช่นนี้ก็เพื่อจะแก้ความคิดผิดๆ ที่วาดภาพพระเจ้าเป็นเหมือนนายใหญ่หรือเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจที่จะต้องได้รับความเคารพยำเกรงมากกว่าที่จะได้รับความรัก
     เพราะฉะนั้น เวลาสวดภาวนา เราต้องมองพระเจ้าเป็นพ่อของเราและพูดกับพระองค์ในฐานะที่เป็นลูกของพระองค์ ครั้งหนึ่ง เราเป็นคนบาปก็จริง แต่นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สองว่าพระเจ้าทรงให้อภัยการล่วงละเมิดของเรา และทรงเอาหนี้สินที่     เราติดค้างพระองค์ไปตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว บัดนี้เราเป็นลูกของพระองค์จริงๆ
     เวลาเด็กเล็กๆ พูดกับพ่อแม่นั้น พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าวิธีพูดจะถูกหรือผิด สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจก็คือการแสดงสิ่งที่พวกเขารู้สึกในหัวใจออกมา ไม่ว่าจะโดยการหัวเราะ ร้องไห้ ฯลฯ
     พวกเขาวางใจและคาดหวังว่าพ่อแม่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่พวกเขาเสมอ พวกเขาวางใจว่าถ้าพวกเขาขอปลา พ่อแม่จะไม่ให้งู และถ้าพวกเขาขอไข่ พ่อแม่ก็จะไม่ให้แมงป่อง ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ”
     นอกจากเราจะต้องวางใจและเต็มเปี่ยมด้วยความหวังเวลาสวดภาวนาแล้ว เรายังต้องมีความพากเพียรในการสวดภาวนาโดยไม่ย่อท้อ ดังเช่นคนที่ไปขอยืมขนมปังจากบ้านเพื่อนในยามค่ำคืน หรือดังเช่นอับราฮัมในบทอ่านที่หนึ่งที่วอนขอพระเจ้าให้ยกโทษแก่ชาวเมืองโสโดมและโกโมราห์หากมีผู้ชอบธรรม 50, 45, 40, 30, 20 หรือ 10 คน
     พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้”
ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดช่วยเราให้สวดภาวนาดีขึ้น โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าให้เหมือนลูกกับพ่อ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความวางใจ ความหวัง และความพากเพียรด้วยเทอญ

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown