บทที่ 4 : ฆราวาส
- รายละเอียด
- หมวด: เอกสารแห่งสภาสังคายนาวาติกันที่ 2
- เขียนโดย itbkk
- ฮิต: 3083
อารัมภบท
30. สภาพระสังคายนาสากล ได้จาระไนหน้าที่ต่าง ๆ ของฐานานุกรมแล้ว บัดนี้จึงยินดีหันมามองดูฐานะของสัตบุรุษคริสตชน ที่เรียกว่า “ฆราวาส” (58) ที่จริงเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวถึงประชากรของพระเป็นเจ้า ก็เกี่ยวข้องสม่ำเสมอกันกับฆราวาส “ นักบวช (59) และผู้ครองสมณเพศ (60) อย่างไรก็ดี สำหรับพวกฆราวาสทั้งบุรุษและสตรี เพราะฐานะและการงานของเขา มีอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมในสมัยของเรานี้ จึงจำต้องพิจารณาดูรากฐานของพวกเขาให้ละเอียดขึ้น บรรดาศาสนบริกร (61) ย่อมทราบดีว่า บรรดาฆราวาสนำคุณประโยชน์มาสู่พระศาสนจักรทั้งหมดได้มากมายเพียงใด. บรรดาชุมพาบาลทั้งหลายย่อมทราบอยู่ว่า พระคริสตเจ้ามิได้ทรงตั้งพวกท่านเฉพาะพวกเดียว ให้รับภารกิจทั้งหมดของพระศาสนจักรในด้านการช่วยโลกให้เอาตัวรอด, แต่หน้าที่อันทรงเกียรติของพวกท่าน อยู่ที่เข้าใจภาระของชุมพาบาลต่อสัตบุรุษ และรับรู้วิเศษพรต่าง ๆ ของพวกสัตบุรุษ ตามที่ทุก ๆ คนต้องทำโดยทำนองของตน ๆ ร่วมกำลังร่วมแรงกันเพื่องานสาธารณะส่วนรวม “เหตุว่าจำเป็นที่ชาวเราทุกคน ต้องบำเพ็ญความรักด้วยจริงใจ เราจึงจะเจริญขึ้นทุก ๆ ด้านในองค์ท่านผู้เป็นประมุขของเรา กล่าวคือ พระคริสตเจ้า. อันพระวรกายทั้งครบของพระคริสตเจ้านั้น รวมตัวกันเป็นหนึ่งหน่วย และประสานสมานกัน โดยข้อต่อทั้งหลาย รับช่วงงานต่าง ๆ กัน ตามแต่งานและมาตราของอวัยวะทุกอวัยวะ, ทั้งนี้จึงทำให้ทั้งร่างกายเจริญเติบโตขึ้น, เป็นการสร้างตนเองในความรัก (อฟ. 4,15-16).
ความหมายของคำ “ฆราวาส”
31. คำ “ฆราวาส” กินความถึงกลุ่มสัตบุรุษคริสตชนทุกคน นอกจากบุคคลที่เป็นสมาชิกของศักดิ์สิทธิการ - อนุกรม และบรรดาผู้อยู่ในฐานะนักบวช อันพระศาสนจักรรับรองแล้ว. สัตบุรุษคริสตชนเหล่านี้ คือ ผู้ที่สังกัดอยู่ในพระกายของพระคริสตเจ้าโดยทางการได้รับศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาป เขาจึงได้ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นประชากรของพระเป็นเจ้า, เขามีส่วนตามอย่าง (หรือทำนอง) ของเขาในองค์พระคริสตเจ้า ด้านภารกิจเป็นพระสงฆ์, เป็นประภาษก (propheta) และเป็นพระราชาของพระองค์ท่าน เขาทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ ตามส่วนตามอย่างของเขา ในฐานะเป็นประชากรของพระเป็นเจ้า, กระทำในพระศาสนจักรและในมนุษยโลก.
ลักษณะฝ่ายโลก เป็นลักษณะเฉพาะและพิเศษของพวกฆราวาส. จริงอยู่ แม้บางครั้งสมาชิกแห่งศักดิ์สิทธิการ - อนุกรม อาจทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดีโลก และกระทั้งบางครั้งก็ทำอาชีพทางโลกด้วย ถึงกระนั้นท่านก็ยังคงสังกัดอยู่ในศักดิ์สิทธิการ - อนุกรมอันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องด้วยพระกระแสเรียกพิเศษของพวกท่านและท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพิเศษ และอย่างประจักษ์แจ้งเด่นชัดสำหรับปฏิบัติภารกิจศักดิ์สิทธิ์, ส่วนพวกนักบวชโดยฐานะของท่าน ก็แสดงให้เห็นประจักษ์เด่นชัดและเป็นพิเศษว่าโลกไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ และไม่อาจนำขึ้นถวายพระเป็นเจ้าได้เมื่ออยู่นอกจิตตารมณ์ “มหาบุญลาภ” เป็นหน้าที่เฉพาะของพวกฆราวาส เนื่องจากเป็นกระแสเรียกเฉพาะของพวกเขา ที่จะแสวงหาพระราชัยของพระเป็นเจ้า เฉพาะอย่างยิ่งโดยเอาธุระเกี่ยวข้องกับข้าวของของโลกนี้ และจัดระเบียบให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า. เขาดำรงชีพอยู่ในโลก หมายความว่ามีหน้าที่, มีงานทุก ๆ อย่างและแต่ละอย่างในโลก, เขาอยู่ในฐานะปกติธรรมดาของชีวิตครอบครัวและสังคม, การเป็นอยู่ของพวกเขา, จากฐานะต่าง ๆ เหล่านี้ ทอเป็นผืนผ้าทีเดียวก็ว่าได้. เพราะเขาอยู่ในฐานะหน้าที่อย่างนี้แหละ พระเป็นเจ้าจึงทรงเรียก
ศักดิ์ศรีของฆราวาสในฐานะเป็นสมาชิกประชากรของพระเป็นเจ้า
32. พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ ที่พระเป็นเจ้าทรงสถาปนาขึ้น มีระเบียบและดำเนินงานหลายสีหลายอย่างต่างกัน, เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจนักหนา. “เหตุว่าในร่างกายอันหนึ่ง เรามีอวัยวะหลายอัน, ทุก ๆ อวัยวะไม่ทำหน้าที่อันเดียวกัน ฉันใด, ก็ฉันนั้น เรามากคนด้วยกันรวมเป็นร่างกายเดียวของพระคริสตเจ้า เราต่างคนก็ต่างเป็นอวัยวะของกันและกัน” (รม. 12,4-5)
เป็นอันว่า ประชากรของพระเป็นเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ มีประชากรเดียว : “มีพระสวามีเจ้าเดียว, ความเชื่ออันเดียว, ศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาปอันเดียว” (อฟ. 4,5) ; เกียรติศักดิ์ร่วมกันของมวลสมาชิก เนื่องจากพวกเขาได้เกิดใหม่ในพระคริสตเจ้า, มีพระหรรษทานร่วมกันเป็นลูก (ของพระเป็นเจ้า), มีพระกระแสเรียกร่วมกัน, มีความรอดอันเดียวกัน, มีความหวังอันเดียวและมีความรักอันแบ่งแยกมิได้. เพราะฉะนั้น ในพระคริสตเจ้าและในพระศาสนจักร หามีความไม่เสมอภาคอันใดเลย, ไม่ว่าด้านเชื้อชาติหรือด้านประเทศชาติ, ไม่ว่าด้านฐานะทางสังคมหรือทางเพศ เพราะว่า “ไม่มีชาวยิวหรือชาวกรีก, ไม่มีผู้ชายหรือผู้หญิง, เหตุว่าพวกท่านทุก ๆ คน เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเยซู” (กล. 3,28 กริก ; เทียบ คส. 3,11).
ฉะนั้น แม้ภายในพระศาสนจักร ไม่ใช่ทุกคนดำเนินตามทางเดียวกัน, อย่างไรก็ดี ทุกคนได้รับพระกระแสเรียกไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ และได้รับส่วนแบ่งปันเท่าเสมอกัน ในด้านความเชื่อที่นำไปสู่ความดีพร้อมของพระเป็นเจ้า (เทียบ 2 ปต. 1,1). แม้ว่าสำหรับบางท่าน, พระคริสตเจ้าได้ทรงพอพระทัยแต่งตั้งเขาขึ้นให้เป็นอาจารย์, เป็นผู้แจกจ่ายพระอคาธัตถ์ต่าง ๆ และเป็นชุมพาบาลเลี้ยงดูคนอื่น ๆ ถึงกระนั้น ก็มีความเสมอภาคอันแท้จริงระหว่างเขาทุกคน ในด้านศักดิ์ศรี และด้านการงาน อันเป็นของทั่วไปสำหรับสัตบุรุษทุกคน ในเรื่องการสร้างพระคริสตวรกาย. อันความแตกต่างที่พระสวามีเจ้าได้ทรงแต่งตั้งไว้ระหว่างพวกผู้ทำบริการทางพระศาสนา และประชากรส่วนอื่นของพระเป็นเจ้านั้น ก็บรรจุความผูกพันกันอยู่ในตัวเองด้วย : พวกชุมพาบาลและสัตบุรุษอื่นต่างก็ผูกพันกัน ด้านความต้องการชนิดต่าง ๆ ร่วมกัน บรรดาชุมพาบาลของพระศาสนจักร, ท่านเจริญรอยตามพระแบบฉบับของพระสวามีเจ้า : ท่านรับใช้กันและกัน และรับใช้สัตบุรุษอื่น ๆ ส่วนสัตบุรุษก็ขมีขมันเข้าช่วยเหลือร่วมงานกับพวกชุมพาบาลของพระอาจารย์. ดังนี้เอง ในการแตกต่างกัน ทุก ๆ คนต่างยืนยันเป็นพยานของเอกภาพอันน่าอัศจรรย์ใจของพระคริสตวรกาย ความแตกต่างนั้นเอง ของพระหรรษทาน, ของภาระหน้าที่และของการงานรวบรวมลูก ๆ ของพระเป็นเจ้าเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, ทั้งนี้เพราะว่า “สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ผู้กระทำก็คือ พระจิตเจ้าองค์หนึ่งองค์เดียวกันนั้นเอง” (1 คร. 12,11)
เพราะฉะนั้น, ฆราวาสทั้งหลาย, ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระเป็นเจ้า ให้มีพระคริสตเจ้าเป็นพี่, พระองค์นี้ แม้ทรงเป็นเจ้าของสรรพสิ่ง, ถึงกระนั้นได้เสด็จมาไม่ใช่เพื่อให้ใครรับใช้พระองค์. แต่เพื่อทรงรับใช้คนอื่น (เทียบ มธ. 12,11) นี้มีอุปมาฉันใดก็มีอุปไมยฉันนั้น ท่านมีพี่น้องคือบรรดาผู้ทำหน้าที่บริการพระศาสนา, เดชะอำนาจอาชญาสิทธิ์ของพระคริสตเจ้า. เขาเป็นผู้เลี้ยงดูครอบครัวของพระเป็นเจ้าด้วยการสั่งสอน, ด้วยการบันดาลความศักดิ์สิทธิ์ และด้วยการปกครอง เพื่อให้ทุก ๆ คนปฏิบัติอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามพระบัญญัติใหม่, พระบัญญัติแห่งความรัก. เรื่องนี้นักบุญออกุสตินกล่าวไว้อย่างสวยงามมาก ท่านว่า : “ที่ใดข้าพเจ้ารู้สึกหนักใจ เพราะต้องเป็นอยู่เพื่อพวกท่าน, ที่นั้นข้าพเจ้าก็รู้สึกชุ่มชื่นใจ เพราะอยู่ร่วมกับพวกท่าน. สำหรับท่าน, ข้าพเจ้าเป็นพระสังฆราช ร่วมอยู่กับพวกท่าน. ข้าพเจ้าก็เป็นคริสตชน อย่างแรกเป็นนามของภาระหน้าที่, อย่างหลังเป็นนามของพระคุณหรรษทาน ; อย่างแรกมีอันตราย อย่างหลังมีความรอดพ้น” (S Augustius, sermo 340 : PL. 38, 1483) ร้องให้เขาใช้การปฏิบัติหน้าที่ของเขา, ให้เขาดำเนินชีวิตตามจิตตารมณ์ของพระวรสาร, เขาจึงจะได้ก่อให้เกิดประโยชน์บันดาลความศักดิ์สิทธิ์แก่โลก เขาเป็นดังเชื้อแป้งที่ออกมาจากภายในตัวเขาก็ว่าได้. และดังนี้ เมื่อเขาส่องแสงเรืองรองด้วยชีวิต (= การครองชีพ) ของเขาเป็นต้น, ด้วยความเชื่อ, ความไว้ใจ, และความรัก เขาจะเผยให้คนอื่นทั้งหลายแลเห็นพระคริสตเจ้า. ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ในลักษณะพิเศษของฆราวาส ที่จะส่องสว่างเข้าไปในข้าวของต่าง ๆ ของโลก ที่เขาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแนบแน่น และเขาทำให้ข้าวของฝ่ายโลกนั้นเกิดมีขึ้น และเจริญงอกงามขึ้นตามพระคริสตเจ้าเรื่อย ๆ ไป และจะเป็นการซ้องสาธุการพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่อีกด้วย.
ชีวิตเกี่ยวกับความรอดพ้น และงานแพร่ธรรม
33. ฆราวาสทั้งหลาย รวมกันเป็นประชากรของพระเป็นเจ้า เขาสังกัดอยู่ในพระคริสตวรกายอันเดียว โดยมีศีรษะเดียว, ทั้งนี้ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม, เขามีกระแสเรียก. ในฐานะเป็นอวัยวะที่มีชีวิต, ให้นำเอาพลกำลังทั้งหมดที่เขาได้รับมาจากพระเมตตาคุณแห่งพระผู้สร้าง และจากพระหรรษทานแห่งพระผู้ไถ่, ให้เขานำมาใช้เพื่อความเจริญก้าวหน้า และเพื่อการประสาทความศักดิ์สิทธิ์อันเนืองนิตย์ของพระศาสนจักร.
การแพร่ธรรม (62) ของพวกฆราวาส คือ การมีส่วนในภารกิจประสาทความรอดพ้นของพระศาสนจักรนั่นเอง. พระสวามีเจ้าพระองค์ท่านเอง ได้ทรงแต่งตั้งทุก ๆ คนให้ทำหน้าที่แพร่ธรรมโดยทางศักดิ์สิทธิการ - ล้างบาป และศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ และเฉพาะอย่างยิ่งพระสดุดีบูชา ประสาทและบำรุงเลี้ยงความรักต่อพระเป็นเจ้าและความรักต่อมนุษย์ อันความรักนี้แหละคือวิญญาณ (หัวหน้า) ของการแพร่ธรรมทั้งหมด ฆราวาสได้รับเรียกอย่างพิเศษทีเดียว ให้ธำรงความเป็นอยู่ และการงานของพระศาสนจักรในสถานที่และในกรณีแวดล้อม, ในสถานที่ที่พระศาสนจักรจะกลายเป็นเกลือดองแผ่นดินได้ ก็เฉพาะโดยทางฆราวาส, นี่แหละ ฆราวาสทุก ๆ คน เนื่องจากทานต่าง ๆ ที่เขาได้รับ, เขาจึงเป็นพยานทั้งในขณะเดียวกันเขาก็เป็นอุปกรณ์อันมีชีวิตแห่งภารกิจของพระศาสนจักรนั่นเอง ทั้งนี้ “ตามมาตราส่วนของของประทานจากพระเป็นเจ้า” (อฟ. 4,7).
นอกจากการแพร่ธรรม อันเป็นหน้าที่ของคริสตชนทุก ๆ คน, ไม่มีเว้นใครเลยแล้ว, ยังมีกรณีอื่น ๆ อีก ที่อาจนำฆราวาสมารับใช้ร่วมมือใกล้ชิดยิ่งขึ้น ในการแพร่ธรรมของพระฐานานุกรมอีกด้วย, เป็นไปอย่างทางบุรุษและสตรีที่ได้ช่วยเหลือ ท่านอัครสาวกเปาโล, ในหน้าที่ประกาศพระวรสาร, ในครั้งนั้นเขาได้เสียสละ ออกแรงทำการงานเพื่อพระสวามีเจ้าเป็นอันมาก (เทียบ อฟ. 4,3 : รม. 12,3…) นอกนั้น ฆราวาสยังมีความสามารถเหมาะสมกับหน้าที่ของพระศาสนจักรด้วย, เป็นหน้าที่ของฐานานุกรมที่จะนำฆราวาสมาใช้ปฏิบัติงาน เพื่อจุดประสงค์ทางวิญญาณด้วย.
เพราะฉะนั้น ฆราวาสทุก ๆ คน จึงมีภาระอันสูงศักดิ์บังคับให้เขาออกแรงทำงานเพื่อบรรลุความประสงค์ของพระเป็นเจ้าโดยนำเอาความรอดไปสู่มนุษย์ทุก ๆ คน, ทุก ๆ สมัย, ทุก ๆ แห่งหน, และยิ่งวันยิ่งมากขึ้น. ฉะนั้น จึงต้องเปิดทางทุก ๆ ด้านให้พวกฆราวาสเองเข้ามาร่วมมือทำการงานตามพละกำลังของเขา และตามความจำเป็นของกาลเวลา ในภารกิจของพระศาสนจักรเอง กล่าวคือ งานบันดาลความรอดพ้น โดยอาศัยพวกฆราวาสร่วมมือลงแรงด้วย.
ฆราวาสมีส่วนร่วมในสังฆภาพทั่วไป และในคารวกิจ
34. พระเยซูคริสตเจ้า องค์พระสงฆ์สูงสุดนิรันดร, เพราะทรงมีพระประสงค์จะให้พวกฆราวาสด้วยเป็นพยานยืนยัน และเป็นผู้ร่วมพระภารกิจของพระองค์, จึงได้ทรงบันดาลให้พวกฆราวาสมีชีวิตด้วยพระจิตของพระองค์ และทรงกระตุ้นเตือนพวกเขาเรื่อยไปไม่หยุดหย่อน ให้ไปสู่ความดีทุกอย่าง และความครบครันทุกประการ.
บรรดาบุคคลที่พระองค์ทรงพระกรุณา ร่วมสนิทชิดเชื้อกับเขา ทางพระชนม์ชีพและทรงภารกิจนั้น, พระองค์ยังประทานให้เขามีส่วนในภารกิจสังฆภาพของพระองค์ อีกโสดหนึ่งด้วยสำหรับให้เขาปฏิบัติคารวกิจด้านจิตใจ เพื่อให้พระเป็นเจ้าทรงได้รับพระเกียรติมงคล และให้มวลมนุษย์ได้รับความรอดพ้นด้วย เพราะฉะนั้น พวกฆราวาส เนื่องจากได้ถวายตัวแด่พระคริสตเจ้าและได้รับการเจิมทาจากพระจิตเจ้า, เขาจึงได้รับพระกระแสเรียกอันน่าพิศวง และประกอบด้วยวิธีการอันทำให้พระจิตเจ้าเองทรงผลิตผลานุผลยิ่งๆ ขึ้นเสมอไปในตัวเขา. เหตุว่า การกระทำทุกอย่าง ทุกประการของเขา เช่นการสวดมนต์ภาวนา, การเริ่มงานแพร่ธรรม, วิสาสะ (63) ประสาสามีภรรยาและครอบครัว, การงานที่เขาประกอบทุก ๆ วัน, การพักผ่อนหย่อนใจ ผ่อนกาย, ในเมื่อเขากระทำขณะมีพระจิตเจ้าประทับอยู่, และกระทั่งความยุ่งยากต่าง ๆ ของชีวิต ในเมื่อเขาเพียรอดทน, สิ่งทั้งหลายดังกล่าวนี้ล้วนเป็นเครื่องบูชาฝ่ายจิตใจ, “เป็นบูชาที่พอพระทัยของพระเป็นเจ้า, โดยอาศัยพระเยซูคริสตเจ้า” (เทียบ 1 ปต. 2,5), ในการฉลองพิธีกรรมพระสดุดีบูชา, เครื่องบูชาของเขานี้ เมื่อนำมาร่วมกับการบูชาถวายพระกายของพระคริสตเจ้า, ก็ได้รับการนำขึ้นทูลถวายแด่พระบิดาเจ้า ด้วยความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง : อาศัยวิธีการอันนี้เอง, ฆราวาสทั้งหลายในเมื่อประพฤติความศักดิ์สิทธิ์, เขาก็กราบนมัสการพระเป็นเจ้าทุกแห่งหน, นับว่าเขายกถวายโลกทั้งโลกแด่พระเป็นเจ้า.
ฆราวาสมีส่วนร่วมในหน้าที่ประภาษกของพระคริสตเจ้า และในการเป็นพยานยืนยัน
35. พระคริสตเจ้า, ประภาษกผู้ยิ่งใหญ่ ได้ทรงใช้พระชนม์ชีพของพระองค์ท่านเองเป็นเครื่องยืนยันและได้ทรงใช้พระวาจาอันทรงเดช เพื่อประกาศพระราชัยของพระบิดา, พระภารกิจของพระองค์อันนี้จะบรรลุผลสำเร็จ เมื่อจะถึงวันแสดงพระเกียรติมงคลของพระองค์อย่างครบบริบูรณ์. ในการบันดาลให้สำเร็จเป็นไปนั้น พระองค์มิใช่แต่ทรงใช้พระฐานานุกรม ซึ่งสั่งสอนในนามของพระองค์ และด้วยอำนาจของพระองค์ แต่ทรงใช้พวกฆราวาสเข้าช่วยอีกด้วย. เพราะฉะนั้น จึงทรงแต่งตั้งพวกฆราวาสขึ้นเป็นพยานทั้งโปรดให้พวกเขาประกอบอยู่ด้วย แนวทางแห่งความเชื่อ (64) และพระหรรษทานในวาจาคำพูด (เทียบ กจ. 2,17-18; วว. 19,10) เพื่อให้อำนาจแห่งพระวรสารเปล่งรัศมีในชีวิตประจำวัน, ชีวิตครอบครัวและชีวิตสังคม. พวกเขาเองก็แสดงตนเป็นบุตรแห่งพันธสัญญา ในเมื่อเขาตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อและความหวัง, เขาใช้เวลาในปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ (เทียบ อฟ. 5,12 ; คส. 4,5), และเมื่อเขาตั้งใจคอยเกียรติมงคลในภายภาคหน้า ด้วยความเพียรอดทน (เทียบ รม. 8,25). อันความหวังที่กล่าวมานี้ พวกเขามิได้ปิดซ่อนไว้ภายในใจ แต่เขาเผยแสดงออกมาภายนอก ในการสร้างชีวิตของเขาในโลกนี้ ; โดยการพยายามกลับใจทำให้ตนดีขึ้นอยู่เนืองนิตย์ และโดยการออกแรงสู้รบ “ต่อสู้เจ้านายแห่งความมืดมน, ต่อสู้กับจิตแห่งความชั่วร้าย” (อฟ. 6,12).
ศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ แห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งชุบเลี้ยงชีวิตและงานแพร่ธรรมของสัตบุรุษ เป็นรูปหมายล่วงหน้าถึงฟ้าใหม่ และแผ่นดินใหม่ (เทียบ วว. 21,1) ฉันใด, บรรดาฆราวาสก็กลายเป็นโฆษกผู้เก่งกล้าแห่งความเชื่อ ที่เขามีต่อสิ่งที่เขาหวังจะได้รับ (เทียบ ฮบ. 11,1) ในเมื่อเขาไม่ลังเลใจนำเอาปฏิญญาจะยึดถือความเชื่อมารวมผูกติดกับชีวิตที่มาจากความเชื่อด้วย ฉันนั้น. การแพร่พระวรสารแบบนี้ กล่าวคือ การเผยแพร่ข่าวของพระคริสตเจ้าที่เราแสดงออกมาด้วยชีวิตของเรา, ด้วยวาจาของเราเป็นเครื่องยืนยัน มีลักษณะพิเศษ, มีอิทธิพลเฉพาะของตนคือผลิตผลให้สำเร็จเป็นไปท่ามกลางฐานะทั่ว ๆ ไปของโลก.
ในภารกิจดังกล่าวนี้ ปรากฏชัดว่ามีค่ามาก. ฐานะของชีวิตที่มีศักดิ์สิทธิการคอยประสาทความศักดิ์สิทธิ์ให้ กล่าวคือ ชีวิตแต่งงาน และชีวิตครอบครัว. สนามฝึกและโรงเรียนแพร่ธรรมของฆราวาสอยู่ที่นี่เอง, เป็นที่ซึ่งพระคริสตศาสนาแทรกซ่านเข้าไปในชีวิตทั้งชีวิต และแปลงรูปให้ดียิ่งขึ้นทุก ๆ วันเรื่อยไป. ณ ที่นี้เองสามีภรรยามีหน้าที่โดยเฉพาะของเขา คือ หน้าที่เป็นพยานความเชื่อ และความรักต่อพระเป็นเจ้าแสดงให้เห็นประจักษ์ต่อกันและกัน และต่อลูก ๆ ของเขา. เมื่อนั้นแหละครอบครัวคริสตชนก็ประกาศก้องซึ่งคุณธรรมต่าง ๆ อันมีอยู่ในพระราชัยของพระเป็นเจ้า ทั้งประกาศแสดงความหวังจะได้ชีวิตอันเป็นสุข. ดังนี้เอง แบบอย่างและการยืนยันของเขา จะเป็นทางตำหนิติเตียนโลกที่ทำบาปกรรม และจะส่องแสงเป็นทางให้บรรดาคนที่แสวงหาความจริงได้แลเห็นความสว่าง.
เพราะฉะนั้น พวกฆราวาสแม้กำลังทำกิจธุระฝ่ายโลก เขาก็สามารถทั้งต้องทำกิจธุระอันประเสริฐนั้น คือ การประกาศพระวรสารแก่ชาวโลก. มีฆราวาสบางคน, ในกรณีที่ขาดแคลนศาสนบริกร หรือศาสนบริกรเองมีความขัดข้องทำหน้าที่ของตนไม่ได้เช่นในคราวถูกเบียดเบียน ฆราวาสก็เข้าทำหน้าที่แทนตามอำนาจที่ตนได้รับ ; มีฆราวาสจำนวนมากกว่าอีก ที่ยอมเสียสละกำลังของเขาทั้งหมดเพื่อภารกิจงานแพร่ธรรม ; อย่างไรก็ดีฆราวาสทุกคนไม่เว้นใครเลย, ต้องร่วมมือเพื่อขยับขยายและเพื่อความเจริญก้าวหน้าของพระคริสตราชัยในโลกนี้. ฉะนั้น ท่านฆราวาสทั้งหลาย, จงใช้วิถีทางหาความรู้ให้มากยิ่งขึ้นเสมอในด้านความจริงที่พระโปรดไขแสดง และจงวิงวอนเร่งเร้าให้ตนได้รับพระพรความปรีชาจากพระเป็นเจ้าด้วยเทอญ.
36. พระคริสตเจ้าได้ทรงนอบน้อมเชื่อฟัง จนกระทั่งได้ทรงยอมตาย, เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงได้ทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้น (เทียบ ฟป. 2,8-9) โปรดให้เสด็จเข้าสู่พระราชัยอันทรงเกียรติของพระองค์ พระองค์ท่านนี้สรรพสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ จนกว่าจะทรงนำพระองค์เองและสรรพสิ่งทั้งหลายให้เข้ามาอยู่ใต้อำนาจของพระบิดา, ทั้งนี้เพื่อให้พระเป็นเจ้าทรงเป็นทุกสิ่งในทุกสิ่ง (เทียบ 1 คร. 15,27-28). อำนาจอันนี้ พระองค์ได้ถ่ายทอดให้แก่พวกสานุศิษย์ เพื่อพวกเขาจะได้มีอิสระเสรีอย่างพระราชาและเพื่อให้พวกเขา เมื่อได้เสียสละตนเอง และบำเพ็ญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์, เขาจะได้มีชัยต่อราชัยของบาปที่ตั้งอยู่ในตัวเขา, (เทียบ รม. 6,12) ยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้เขารับใช้คนอื่น เพราะเห็นแก่พระคริสตเจ้า, อาศัยความสุภาพถ่อมตน และความเพียรอดทน, เขาจะได้นำพวกพี่น้องเข้าเฝ้าพระราชา ซึ่งผู้ใดรับใช้พระองค์ ผู้นั้นก็เป็นในหลวง. พระสวามีเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้แม้กระทั่งสัตบุรุษฆราวาส ทำการงานขยับขยายพระราชัยของพระองค์ให้แผ่ไพศาลออกไป, พระราชัยนั้นคือ พระราชัยแห่งความจริงอันบันดาลชีวิต, พระราชัยแห่งความศักดิ์สิทธิ์และแห่งพระหรรษทาน, พระราชัยแห่งความยุติธรรม, ความรักและสันติสุข, เมื่ออยู่ในพระราชัยนี้ แม้สิ่งสร้างเองก็จะรอดพ้นจากความเป็นทาสของความผุเปื่อย, กลับมามีอิสระเสรีอันทรงศักดิ์ศรีในฐานะเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า (เทียบ รม. 8,21), นี่คือคำมั่นสัญญาอันใหญ่หลวงยิ่งนัก, คือ คำกำชับอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ที่พวกสานุศิษย์ได้รับ, นั่นคือ “ทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน, พวกท่านเป็นของพระคริสตเจ้า, พระคริสตเจ้าเป็นของพระเป็นเจ้า” (1 คร. 3,23).
เพราะฉะนั้นบรรดาสัตบุรุษ ต้องรู้จักสัตว์โลกเรื่องธรรมชาติอันลึกซึ้ง, คุณค่าและลำดับจุดหมายต่าง ๆ ของมัน ซึ่งก็เพื่อเป็นเกียรติมงคลแด่พระเป็นเจ้า. และในการทำการงานต่าง ๆ ฝ่ายโลกนี้ เขายังต้องช่วยเหลือกันและกัน เพื่อบำเพ็ญชีวิตที่ดีขึ้น จนกระทั่งโลกจะเอิบอาบอยู่ด้วยจิตตารมณ์ของพระ คริสตเจ้า, และบรรลุถึงจุดหมายของมัน โดยได้รับผลสำเร็จยิ่งขึ้นในด้านความยุติธรรม, ความรักและสันติสุข. ในการปฏิบัติหน้าที่อันนี้ โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว, บรรดาฆราวาสอยู่ในแนวหน้าที่สำคัญอันดับหนึ่ง. ความสันทัดจัดเจนในธุรกิจฝ่ายโลก, ความอุตสาหะทำการงาน, พร้อมทั้งพระหรรษทานต่าง ๆ ของพระ คริสตเจ้าที่เขามีอยู่ย่อมค้ำชูเขาขึ้น, คอยช่วยเหลืออยู่ภายในตัวเขา, ทำให้เขาออกแรงแข็งขัน, ทำให้ทรัพยากรซึ่งพระเป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นนั้น ดำเนินไปตามจุดมุ่งหมายของพระผู้สร้าง และตามแสงสว่างของพระองค์ท่านด้วย. เขาต้องใช้เรี่ยวแรงของมนุษย์หลักวิชาการ (เทคนิค) และวัฒนธรรมของบ้านเมืองก่อให้เกิดประโยชน์ทั่วไปแก่มนุษย์ทุก ๆ คน ทั้งต้องมีการแบ่งปันทรัพย์เหล่านั้นแก่มนุษย์ทุก ๆ คนทั่วไป โดยทำนองที่เหมาะสมยิ่งขึ้น และด้วยการกระทำอย่างนี้ เขาจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าสากลทั่วไปในด้านอิสรเสรี (65) ของมวลมนุษย์และของคริสตชน ดังนี้แหละ พระคริสตเจ้าโดยทางสมาชิกของพระศาสนจักร, จะทรงทอแสงความสว่างอันช่วยให้รอดของพระองค์ ไปยังสังคมมนุษยชาติทั้งหมด ยิ่งวันยิ่งทวีขึ้น.
นอกนั้นพวกฆราวาส เมื่อรวมกำลังกันยังสามารถบำบัดรักษาองค์การ และสถานะต่าง ๆ ของโลกเมื่อมันโน้มนำไปสู่บาป, เขาจะนำให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เข้ามาสู่หลักความยุติธรรมและช่วยสนับสนุนคุณธรรม แทนที่จะเป็นอุปสรรคขัดข้อง. การปฏิบัติดังนี้ เป็นการทำความเจริญแก่วัฒนธรรม และทำให้การปฏิบัติการงานของมนุษย์ดีชอบ ชุ่มฉ่ำด้วยคุณค่าของศีลธรรม. โดยการกระทำอย่างนี้เองอีกด้วย เนื้อนาของโลกจะสรรพพร้อมที่จะรับเมล็ดพันธุ์แห่งพระวาจาของพระเป็นเจ้า, และประตูในสถานที่ต่าง ๆ จะเปิดอ้าเพื่อต้อนรับพระศาสนจักร, เป็นทางนำสันติสุขเข้ามาสู่ทั้งโลกจักรวาล.
เนื่องด้วยตัวระบบแห่งความรอดนี้เอง สัตบุรุษต้องสนใจและเอาใจใส่เรียนให้รู้แยกแยะสิทธิและหน้าที่ที่เขามี, ในฐานะร่วมอยู่ในพระศาสนจักร และสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของของเขา ในฐานะที่เป็นสมาชิกแห่งสังคมมนุษย์. เขาต้องพยายามประสานสมานสถานะทั้งสองนี้ให้สอดคล้องกลมเกลียวกัน, โดยระลึกอยู่เสมอว่าตัวเขาไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจฝ่ายโลกอันใด. มโนธรรมของคริสตชนต้องเป็นผู้นำของเขาอยู่เสมอ. เพราะว่า ไม่มีกิจกรรมอันใดของมนุษย์แม้ในเรื่องเกี่ยวกับโลกด้วย, ไม่อาจรอดพ้นจากอำนาจของพระเป็นเจ้าไปได้. ในสมัยของเราทุกวันนี้ จำเป็นอย่างที่สุดจะต้องแยกแยะ พร้อมทั้งต้องมีความกลมกลืนประสานสมานกัน ซึ่งจะต้องส่องแสงแจ่มจ้าที่สุด ในทำนองการกระทำของสัตบุรุษ, คือ ต้องให้ภารกิจแห่งพระศาสนจักรสามารถรับกันโดยสมบูรณ์แนบแน่นยิ่งขึ้น กับสถานะพิเศษปลีกย่อยของโลกในปัจจุบันนี้, เหตุว่า เราต้องยอมรับว่าบ้านเมืองทางโลก ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับของฝ่ายโลกล้วน ๆ, บ้านเมืองก็มีสิทธิ์ปกครองตามหลักเฉพาะของตน แต่เป็นการถูกต้องที่เราจะไม่ยอมรับคำสอนอันเป็นภัย ซึ่งอาจอ้างว่า จะสร้างสังคมโดยไม่ยอมเกี่ยวข้องกับศาสนา ทั้งเขายังต่อสู้และทำลายอิสรเสรีภาพของพลเมือง.
ด้านความเกี่ยวข้องกับพระฐานานุกรม
37. พวกฆราวาสก็เช่นเดียวกับสัตบุรุษ คริสตชนทั้งหลาย, เขามีสิทธิ์ในทรัพย์ด้านวิญญาณของพระศาสนจักร, เป็นต้น ในอันที่จะได้รับอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์, อาหารแห่งพระวาจาของพระเป็นเจ้า และศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่ศาสนบริการ (66) เขาเพียงแต่ต้องแจ้งให้ท่านทราบถึงความต้องการและความปรารถนาของเขา, อย่างมีอิสระเสรี และด้วยความไว้วางใจประสาบุตรของพระเป็นเจ้า และประสาเป็นพี่เป็นน้องในพระคริสตเจ้า. อันความรู้ความสามารถและตำแหน่งหน้าที่ที่เขามี, เขามีสิทธิ์และบางทีมีหน้าที่อีกด้วย ที่จะแจ้งให้ทราบถึงความคิดเห็นของเขา เกี่ยวกับผลประโยชน์ของพระศาสนจักร. การทั้งนี้ให้เขากระทำไป ในเมื่อมีเหตุกรณี โดยเสนอเรื่องราวต่อองค์การต่าง ๆ ที่พระศาสนจักรได้ตั้งไว้, และให้เขาแสดงออกโดยสม่ำเสมอ ซึ่งความจริงใจ, ความกล้าหาญและความรอบคอบ ทั้งด้วยความเคารพ, และความรักต่อบุคคลที่เพราะได้รับหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์, ท่านจึงเป็นตัวแทนของพระคริสตเจ้า.
บรรดาฆราวาสก็เช่นเดียวกับสัตบุรุษคริสตชนทั้งหลาย, เมื่อผู้มีหน้าที่ศาสนบริการ ในฐานะเป็นผู้แทนของพระคริสตเจ้า, ในฐานะเป็นอาจารย์, เป็นผู้ปกครองพระศาสนจักร, ท่านกำหนดสั่งสิ่งใด ก็จงรับทำทันที, ขอให้เอาอย่างพระคริสตเจ้า, พระองค์ทรงนอบน้อมเชื่อฟังจนกระทั่งยอมสิ้นพระชนม์ เพื่อเปิดทางให้มนุษย์ไปสู่มรรคาอันเป็นสุข อย่างบุตรของพระเป็นเจ้า. ขออย่าเพิกเฉยในการภาวนาวิงวอนต่อพระเป็นเจ้า, เพื่อผู้ปกครองของตน ด้วยว่าท่านมีหน้าที่ดูแลชาวเรา, และท่านจะต้องให้การต่อพระเป็นเจ้าเรื่องวิญญาณของชาวเรา ทั้งนี้เพื่อท่านจะได้ปฏิบัติหน้าที่ของท่านด้วยความชุ่มชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความหนักใจ (เทียบ ฮบ. 13,17).
ฝ่ายบุคคลที่มีหน้าที่ศาสนบริการ (หรือชุมพาบาล) ทั้งหลายก็จงรับรู้ศักดิ์ศรีและความรับผิดชอบของฆราวาส, ต้องส่งเสริมเขาด้วย ; จงยินดีรับความคิดเห็นอันปรีชาฉลาดของพวกเขา, จงวางใจมอบตนแก่เขาเพื่อประโยชน์ของพระศาสนจักร, จงปล่อยเขาให้มีเสรีภาพในการทำการงาน และจงให้เวลาแก่พวกเขา, ยิ่งไปกว่านั้น จงส่งเสริมให้พวกเขามีกำลังใจ, ให้เขาเริ่มงานด้วยตัวของเขาเอง, จงมีความรักประสาพ่อ พิจารณาดูการงานที่เขาเริ่มขึ้น, มองดูในองค์พระคริสตเจ้า ซึ่งความหวังและความปรารถนาที่พวกฆราวาสเสนอ, อิสรภาพอันยุติธรรม, ซึ่งใคร ๆ ก็มีสิทธิ์ในสังคมบ้านเมือง, ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ศาสนบริการจงรับรู้ด้วยความเคารพไว้ด้วย.
เมื่อพวกฆราวาสและศาสนบริกรต่างคบค้ากันอย่างสนิทสนมดังนี้ ก็หวังได้ว่า พระศาสนจักรจะได้รับคุณประโยชน์มากมาย เช่น ฆราวาสจะมีความสำนึกในการรับผิดชอบส่วนของเขาโดยเฉพาะอย่างแน่วแน่ขึ้น, เขาจะมีแก่ใจสละกำลังเรี่ยวแรงร่วมงานของพระศาสนจักรง่ายขึ้น. ฝ่ายศาสนบริกร เพราะได้รับความช่วยเหลือจากฆราวาส ท่านจะตัดสินด้วยความแน่ใจขึ้น และเหมาะสมขึ้น ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับโลก. จึงจะเป็นอันว่า พระศาสนจักรทั้งพระศาสนจักรจะแข็งแกร่งขึ้นด้วย อาศัยสมาชิกของท่าน เพื่อชีวิตของโลก โดยได้รับผลสำเร็จยิ่งขึ้น.
ด้านความเกี่ยวข้องกับพระฐานานุกรม
37. พวกฆราวาสก็เช่นเดียวกับสัตบุรุษ คริสตชนทั้งหลาย, เขามีสิทธิ์ในทรัพย์ด้านวิญญาณของพระศาสนจักร, เป็นต้น ในอันที่จะได้รับอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์, อาหารแห่งพระวาจาของพระเป็นเจ้า และศักดิ์สิทธิการต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่ศาสนบริการ (66) เขาเพียงแต่ต้องแจ้งให้ท่านทราบถึงความต้องการและความปรารถนาของเขา, อย่างมีอิสระเสรี และด้วยความไว้วางใจประสาบุตรของพระเป็นเจ้า และประสาเป็นพี่เป็นน้องในพระคริสตเจ้า. อันความรู้ความสามารถและตำแหน่งหน้าที่ที่เขามี, เขามีสิทธิ์และบางทีมีหน้าที่อีกด้วย ที่จะแจ้งให้ทราบถึงความคิดเห็นของเขา เกี่ยวกับผลประโยชน์ของพระศาสนจักร. การทั้งนี้ให้เขากระทำไป ในเมื่อมีเหตุกรณี โดยเสนอเรื่องราวต่อองค์การต่าง ๆ ที่พระศาสนจักรได้ตั้งไว้, และให้เขาแสดงออกโดยสม่ำเสมอ ซึ่งความจริงใจ, ความกล้าหาญและความรอบคอบ ทั้งด้วยความเคารพ, และความรักต่อบุคคลที่เพราะได้รับหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์, ท่านจึงเป็นตัวแทนของพระคริสตเจ้า.
บรรดาฆราวาสก็เช่นเดียวกับสัตบุรุษคริสตชนทั้งหลาย, เมื่อผู้มีหน้าที่ศาสนบริการ ในฐานะเป็นผู้แทนของพระคริสตเจ้า, ในฐานะเป็นอาจารย์, เป็นผู้ปกครองพระศาสนจักร, ท่านกำหนดสั่งสิ่งใด ก็จงรับทำทันที, ขอให้เอาอย่างพระคริสตเจ้า, พระองค์ทรงนอบน้อมเชื่อฟังจนกระทั่งยอมสิ้นพระชนม์ เพื่อเปิดทางให้มนุษย์ไปสู่มรรคาอันเป็นสุข อย่างบุตรของพระเป็นเจ้า. ขออย่าเพิกเฉยในการภาวนาวิงวอนต่อพระเป็นเจ้า, เพื่อผู้ปกครองของตน ด้วยว่าท่านมีหน้าที่ดูแลชาวเรา, และท่านจะต้องให้การต่อพระเป็นเจ้าเรื่องวิญญาณของชาวเรา ทั้งนี้เพื่อท่านจะได้ปฏิบัติหน้าที่ของท่านด้วยความชุ่มชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความหนักใจ (เทียบ ฮบ. 13,17).
ฝ่ายบุคคลที่มีหน้าที่ศาสนบริการ (หรือชุมพาบาล) ทั้งหลายก็จงรับรู้ศักดิ์ศรีและความรับผิดชอบของฆราวาส, ต้องส่งเสริมเขาด้วย ; จงยินดีรับความคิดเห็นอันปรีชาฉลาดของพวกเขา, จงวางใจมอบตนแก่เขาเพื่อประโยชน์ของพระศาสนจักร, จงปล่อยเขาให้มีเสรีภาพในการทำการงาน และจงให้เวลาแก่พวกเขา, ยิ่งไปกว่านั้น จงส่งเสริมให้พวกเขามีกำลังใจ, ให้เขาเริ่มงานด้วยตัวของเขาเอง, จงมีความรักประสาพ่อ พิจารณาดูการงานที่เขาเริ่มขึ้น, มองดูในองค์พระคริสตเจ้า ซึ่งความหวังและความปรารถนาที่พวกฆราวาสเสนอ, อิสรภาพอันยุติธรรม, ซึ่งใคร ๆ ก็มีสิทธิ์ในสังคมบ้านเมือง, ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ศาสนบริการจงรับรู้ด้วยความเคารพไว้ด้วย.
เมื่อพวกฆราวาสและศาสนบริกรต่างคบค้ากันอย่างสนิทสนมดังนี้ ก็หวังได้ว่า พระศาสนจักรจะได้รับคุณประโยชน์มากมาย เช่น ฆราวาสจะมีความสำนึกในการรับผิดชอบส่วนของเขาโดยเฉพาะอย่างแน่วแน่ขึ้น, เขาจะมีแก่ใจสละกำลังเรี่ยวแรงร่วมงานของพระศาสนจักรง่ายขึ้น. ฝ่ายศาสนบริกร เพราะได้รับความช่วยเหลือจากฆราวาส ท่านจะตัดสินด้วยความแน่ใจขึ้น และเหมาะสมขึ้น ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับโลก. จึงจะเป็นอันว่า พระศาสนจักรทั้งพระศาสนจักรจะแข็งแกร่งขึ้นด้วย อาศัยสมาชิกของท่าน เพื่อชีวิตของโลก โดยได้รับผลสำเร็จยิ่งขึ้น.