มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน 2019 ระลึกถึง น.ยุสติน มรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                              กจ 18:23-28
      หลังจากอยู่ในเมืองอันทิโอกระยะหนึ่ง เปาโลออกจากที่นั่น เดินทางไปทั่วแคว้น กาลาเทียและฟรีเจียเพื่อทำให้บรรดาศิษย์มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น
      ในช่วงเวลานั้น ชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล ชาวเมืองอเล็กซานเดรีย มาที่เมืองเอเฟซัส เขารอบรู้พระคัมภีร์ มีวาทศิลป์ ได้รับการสั่งสอนเรื่องวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีจิตใจกระตือรือร้นมากในการพูดและการสอนเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าอย่างถูกต้อง แต่รู้จักเพียงพิธีล้างของยอห์นเท่านั้น เขาเริ่มเทศน์สอนอย่างกล้าหาญในศาลาธรรม ปริสซิลลาและ อาควิลาได้ฟังจึงเชิญเขาไปที่บ้านและอธิบายให้เขาเข้าใจวิถีทางของพระเจ้าอย่างละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น
     อปอลโลต้องการไปยังแคว้นอาคายา บรรดาพี่น้องก็ให้กำลังใจและเขียนจดหมายถึงบรรดาศิษย์ที่นั่นให้ต้อนรับเขา เมื่อไปถึง อปอลโลให้ความช่วยเหลืออย่างมากแก่ผู้ที่พระเจ้าทรงบันดาลให้มีความเชื่อ เขาตอบโต้อย่างแข็งขันกับชาวยิวต่อหน้าคนทั้งหลาย โดยอ้างข้อความจากพระคัมภีร์พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 16:23ข-28
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานให้ท่านในนามของเรา จนถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเราเลย จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ เพื่อความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ เราใช้อุปมาบอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน จะถึงเวลาที่เราจะไม่ใช้อุปมาพูดกับท่านอีก แต่จะบอกถึงพระบิดาของเราให้ท่านรู้อย่างชัดแจ้ง วันนั้น ท่านจะขอในนามของเรา เราไม่บอกท่านว่า เราจะขอพระบิดาเพื่อท่าน พระบิดาทรงรักท่าน เพราะท่านรักเรา และเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้ บัดนี้ เรากำลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก”

 

ข้อคิด

     อปอลโลเป็นรูปแบบของฆหราวาสผู้ประกาศพระวรสารอย่างร้อนรนในยุคสมัยของท่าน เช่นเดียวกับยุคสมัยนี้ เราพบเห็นฆราวาสร้อนรนกับการประกาศด้วยรูปแบบต่างๆ แม้ไม่มีความรู้ แม้ไม่เข้าใจพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้นัก แต่พระเจ้าจะทรงนำพาจิตวิญญาณแห่งการประกาศนั้นไปในทางของพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า... จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2019 สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 1:1-11
      เธโอฟีลัสที่รัก ในหนังสือเล่มแรก ข้าพเจ้าเล่าถึงทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำและทรงสั่งสอน เริ่มตั้งแต่ต้น จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ทรงได้รับการยกขึ้นสวรรค์ หลังจากที่ทรงแนะนำสั่งสอนบรรดาอัครสาวกที่ทรงเลือกสรรโดยทางพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกเหล่านั้น และทรงพิสูจน์ด้วยวิธีการต่างๆ ว่าหลังจากทรงรับทุกข์ทรมานแล้ว พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตลอดเวลาสี่สิบวันที่พระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่เขาทั้งหลาย ทรงกล่าวถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า ขณะที่ทรงร่วมโต๊ะกับเขา พระองค์ทรงกำชับว่า “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จงคอยรับพระพรที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ดังที่ท่านได้ยินจากเรา ยอห์นทำพิธีล้างด้วยน้ำ แต่ภายในไม่กี่วัน ท่านจะได้รับพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า”
      ผู้ที่มาชุมนุมกับพระเยซูเจ้า ทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงสถาปนาอาณาจักรอิสราเอลอีกครั้งหนึ่งในเวลานี้หรือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้วันเวลาที่พระบิดาทรงกำหนดไว้โดยอำนาจของพระองค์ แต่พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและท่านจะรับอานุภาพเพื่อจะเป็นพยานถึงเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดิน
      เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตาของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะที่พระองค์ทรงจากไป ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมเสื้อขาวปรากฏแก่เขา กล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านทั้งหลายยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่ทำไม พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ที่เสด็จสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์”

 

เพลงสดุดี                                                                    สดด 47:1-2,5-6,7-8
      ก) ประชากรทั้งหลาย จงปรบมือเถิด
จงเปล่งเสียงโห่ร้องถวายพระเจ้าด้วยความยินดี
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าสูงสุด ทรงน่าเกรงขาม
ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือทั่วแผ่นดิน
       ข) พระเจ้าเสด็จขึ้นขณะที่มีเสียงโห่ร้องถวายชัย
องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปขณะที่มีเสียงเป่าเขาสัตว์
จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จงร้องเพลงเถิด
จงร้องเพลงถวายกษัตริย์ของเรา จงร้องเพลง
      ค) เพราะพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ปกครองทั่วแผ่นดิน
จงร้องเพลงไพเราะถวายพรพระองค์เถิด
พระเจ้าทรงปกครองเหนือนานาชาติ
พระเจ้าประทับอยู่บนพระบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส      อฟ 1:17-23
      พี่น้อง ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ประทานพระพรแห่งปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ยิ่งๆ ขึ้น ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงใด อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นล้ำเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละกำลังนี้ พระองค์ทรงแสดงในองค์พระคริสตเจ้า เมื่อทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และให้ประทับเบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์ เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำนาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวงที่อาจเรียกขานได้ทั้งในยุคนี้และในยุคหน้า พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้า และทรงแต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิ่ง ให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร ซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำให้ทุกสิ่งบริบูรณ์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                               ลก 24:46-53
       เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม จะต้องประกาศในพระนามพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้
บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพปกคลุมจากเบื้องบน”
      พระองค์ทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานี ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพร และขณะที่ทรงอวยพระพรนั้น พระองค์ทรงแยกไปจากเขา และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์ บรรดาศิษย์กราบนมัสการพระองค์แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง เขาอยู่ในพระวิหารตลอดเวลา ถวายพระพรแด่พระเจ้า

 

ข้อคิด

      พระสิริและความรุ่งโรจน์ ปรากฏกระจ่างจ้าได้ด้วยสิ่งตรงกันข้าม เช่น เราพบความสว่างเมื่อมีความมืด เรารู้จักความสุขเมื่อเคยประสบกับความทุกข์ เรารื่นรมย์สมหวังในความรักเมื่อเคยผิดหวังในรัก ทรงกลับคืนพระชนมชีพก็เมื่อเสด็จสิ้นพระชนม์ในพระมหาทรมาน และเมื่อเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ก็ทรงประทานพระจิตผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ให้เสด็จมาเหนือเรา ประทานความรัก ความช่วยเหลือ และอยู่เคียงข้างเรา เมื่อมีการจากพราก...จึงมีการพบพาน...หากไม่ทรงเสด็จไป...พระจิตเจ้าก็ไม่อาจเสด็จมา

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน 2019 สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                              กจ 20:17-27
      ในครั้งนั้น เปาโลส่งคนจากเมืองมิเลทัสไปยังเมืองเอเฟซัส เพื่อเชิญบรรดาผู้อาวุโสของพระศาสนจักรมาพบ เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึง เปาโลพูดว่า “ท่านทั้งหลายรู้ว่า ตลอดเวลาตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาในแคว้นอาเซีย ข้าพเจ้าปฏิบัติตนต่อท่านอย่างไร ข้าพเจ้ารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความถ่อมตนอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าต้องร่ำไห้เป็นทุกข์และเสี่ยงชีวิตจากการที่ชาวยิววางแผนปองร้ายข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายรู้ว่าข้าพเจ้าไม่เคยละเลยสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ไม่เคยหยุดเทศน์ และยังสอนท่านในที่สาธารณะและตามบ้าน ข้าพเจ้าเชิญชวนทั้งชาวยิวและชาวกรีกอย่างแข็งขันให้กลับใจมาหาพระเจ้าและให้มีความเชื่อในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
      บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะไปกรุงเยรูซาเล็มตามพระบัญชาของพระจิตเจ้า ไม่รู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้เพียงว่าพระจิตเจ้าทรงเตือนข้าพเจ้าในทุกๆ เมืองว่า โซ่ตรวนและความยากลำบากกำลังรอข้าพเจ้าอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าชีวิตของข้าพเจ้ามีค่า สำหรับข้าพเจ้าเท่ากับการที่ข้าพเจ้าได้วิ่งถึงปลายทางและทำให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าสำเร็จไป คือการเป็นพยานประกาศข่าวดีแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า
       ข้าพเจ้าผ่านมาประกาศพระอาณาจักรแก่ท่านทั้งหลาย บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านทุกคนจะไม่เห็นหน้าข้าพเจ้าอีก ดังนั้น วันนี้ข้าพเจ้าขอประกาศยืนยันแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านผู้ใดไม่รอดพ้น ข้าพเจ้าก็ไม่รับผิดชอบ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ละเลยที่จะประกาศพระประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้าแก่ท่าน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 17:1-11ก
        เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระบุตรของพระองค์เถิด เพื่อพระองค์จะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระบุตร ดังที่พระองค์ได้ประทานอำนาจแก่พระบุตรเหนือมนุษย์ทั้งมวล เพื่อพระบุตรจะได้ประทานชีวิตนิรันดรแก่ทุกคนที่พระองค์ทรงมอบให้ ชีวิตนิรันดรคือ การรู้จักพระองค์ พระเจ้าแท้จริงแต่พระองค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือพระเยซูคริสตเจ้า ข้าพเจ้าทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในโลกนี้แล้ว โดยปฏิบัติภารกิจจนสำเร็จตามที่ทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้า บัดนี้ พระบิดาเจ้าข้า โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ข้าพเจ้า พระสิริรุ่งโรจน์ที่ข้าพเจ้าเคยมีร่วมกับพระองค์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ข้าพเจ้าได้แสดงพระนามของพระองค์แก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงนำจากโลกมามอบให้ข้าพเจ้า เขาทั้งหลายเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงมอบเขาแก่ข้าพเจ้า เขาได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ บัดนี้ เขารู้แล้วว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้นมาจากพระองค์ เพราะพระวาจาที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามอบให้เขาแล้ว เขาได้รับไว้ และรู้แน่นอนว่า ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ และเขาก็เชื่อว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาสำหรับเขาเหล่านี้ ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานภาวนาสำหรับโลก แต่สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพเจ้า ก็เป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์ ก็เป็นของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับสิริรุ่งโรจน์โดยทางเขา ข้าพเจ้าไม่อยู่ในโลกอีกต่อไป แต่เขายังอยู่ในโลก และข้าพเจ้ากำลังกลับไปเฝ้าพระองค์”

 

ข้อคิด

     นักบุญเปาโลปราศรัยอำลาคริสตชนด้วยความห่วงใย ท่านได้เป็นพยานประกาศข่าวดีแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ท่านได้พยายามอย่างเต็มที่ ท่านวิ่งถึงปลายทางและทำให้ภารกิจที่รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้าสำเร็จไป...
      พระเยซูเจ้าทรงปราศรัยอำลาเราด้วยความรักและอาลัยก่อนจะเสด็จจากไป ทรงห่วงใย ทรงอธิษฐานภาวนาฝากเราไว้กับพระบิดาเพราะเราเป็นของพระองค์ ในความรักของพระองค์เราจะประสบสันติสุข และชนะโลก

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2019 ระลึกถึง น.ชาร์ลวลวงก้า และเพื่อนมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                             กจ 19:1-8
      ขณะที่อปอลโลยังอยู่ที่เมืองโครินธ์ เปาโลเดินทางผ่านที่ราบสูงมาถึงเมืองเอเฟซัส พบศิษย์บางคน จึงถามว่า “เมื่อท่านทั้งหลายมีความเชื่อนั้น ท่านได้รับพระจิตเจ้าหรือไม่”
เขาตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำไปว่ามีพระจิตเจ้า”
เปาโลจึงถามว่า “แล้วท่านได้รับพิธีล้างแบบใด”
เขาตอบว่า “พิธีล้างของยอห์น”
       เปาโลจึงกล่าวว่า “ยอห์นทำพิธีล้างแสดงการกลับใจ โดยบอกประชาชนให้เชื่อผู้ที่จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซูเจ้า” เมื่อเขาเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ก็ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เปาโลปกมือเหนือเขา พระจิตเจ้าก็เสด็จลงมาประทับอยู่ด้วย เขาจึงพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจและกล่าวคำทำนาย คนกลุ่มนี้มีประมาณสิบสองคน
     เปาโลเข้าไปในศาลาธรรมและเทศน์สอนอย่างกล้าหาญตลอดเวลาสามเดือน ใช้เหตุผลหว่านล้อมผู้ฟังให้เชื่อเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                   ยน 16:29-33
      เวลานั้น บรรดาศิษย์ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ใช่แล้ว บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างชัดแจ้ง มิได้ใช้อุปมาใดๆ บัดนี้พวกเรารู้ว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ใครจะทูลถามพระองค์อีก ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า”
       พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ จะถึงเวลา และเวลานั้นก็มาถึงแล้วที่ท่านทั้งหลายจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง และจะทิ้งเราไว้คนเดียว แต่เราไม่อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาทรงอยู่กับเรา เราบอกเรื่องเหล่านี้กับท่านแล้ว เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ ท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่อย่าท้อแท้ เราชนะโลกแล้ว”

 

ข้อคิด

      พระจิตเจ้าเป็นความรักของพระบิดาและพระบุตร พระองค์ทรงส่งความรักของพระองค์ลงมาครอบครองเรา พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งเราไว้ให้เผชิญความทุกข์ยากท้อแท้แต่เพียงลำพัง โดยความเชื่อนี้ สันติสุขจึงครอบครองใจเรา แม้ในท่ามกลางอุปสรรคและปัญหาต่างๆ เรามีความหวังอยู่เสมอแม้ในระหว่างท้อใจ

วันพุธที่ 5 มิถุนายน 2019 ระลึกถึง น.บอนีฟาส พระสังฆราชและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 20:28-38
      เวลานั้น เปาโลกล่าวกับบรรดาผู้อาวุโสของพระศาสนจักรที่แห่งเมืองเอเฟซัสว่า “ท่านทั้งหลายจงดูแลตนเองและฝูงแกะที่พระจิตเจ้าทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้ดูแล เพื่อเลี้ยงดูพระศาสนจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตร ข้าพเจ้ารู้ว่าเมื่อข้าพเจ้าจากไปแล้ว สุนัขป่าดุร้ายจะเข้ามาในกลุ่มของท่านและจะทำร้ายฝูงแกะ แม้ในกลุ่มของท่านก็จะมีบางคนลุกขึ้นกล่าวบิดเบือนความจริงเพื่อโน้มน้าวบรรดาศิษย์ให้ติดตามตน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังไว้เถิด จงระลึกว่าข้าพเจ้าไม่เคยหยุดเตือนท่านแต่ละคนด้วยน้ำตานองหน้าทั้งกลางวันกลางคืนตลอดเวลาสามปี
      บัดนี้ ข้าพเจ้าฝากท่านทั้งหลายไว้กับพระเจ้า และกับพระวาจาแห่งพระหรรษทานของพระองค์ พระวาจานี้สร้างพระศาสนจักรและประทานมรดกให้ท่านรับร่วมกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ ข้าพเจ้าไม่เคยอยากได้เงินทองหรือเสื้อผ้าของผู้ใด ท่านก็รู้แล้วว่าข้าพเจ้าทำงานด้วยมือทั้งสองนี้เพื่อสนองความต้องการของข้าพเจ้าและของผู้ที่อยู่ด้วย ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านเห็นเสมอมาว่า เราต้องทำงานเช่นนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอโดยระลึกถึงพระวาจาของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า ‘การให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าการรับ’”
     เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว เปาโลคุกเข่าลงพร้อมกับทุกคนและอธิษฐานภาวนา ต่างร้องไห้ฟูมฟายเข้าสวมกอดและจูบลาเปาโล ทุกคนรู้สึกโศกเศร้า เพราะเปาโลพูดว่า เขาเหล่านั้นจะไม่ได้เห็นหน้าของเปาโลอีก แล้วทุกคนก็ไปส่งเปาโลถึงเรือ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 17:11ข-19
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดเฝ้ารักษาบรรดาผู้ที่ทรงมอบให้ข้าพเจ้าไว้ในพระนามพระองค์ เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระองค์และข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาเขาเหล่านั้นไว้ในพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาไว้ และไม่มีผู้ใดพินาศ เว้นแต่ผู้ที่ต้องพินาศ เพื่อให้เป็นจริงตามพระคัมภีร์ แต่บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังกลับไปเฝ้าพระองค์ ข้าพเจ้ากล่าววาจานี้ขณะที่ยังอยู่ในโลก เพื่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้าจะมีความยินดีของข้าพเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ข้าพเจ้ามอบพระวาจาของพระองค์ให้เขาเหล่านั้นแล้ว และโลกเกลียดชังเขา เพราะเขาไม่เป็นของโลก เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่เป็นของโลก ข้าพเจ้าไม่ได้วอนขอพระองค์ให้ทรงยกเขาออกจากโลก แต่วอนขอให้ทรงรักษาเขาให้พ้นจากมารร้าย เขาไม่เป็นของโลก เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่เป็นของโลก โปรดบันดาลให้เขาศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยความจริง พระวาจาของพระองค์คือความจริง พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามาในโลกฉันใด ข้าพเจ้าก็ส่งเขาเข้าไปในโลกฉันนั้น ข้าพเจ้าถวายตนเป็นบูชาสำหรับเขา เพื่อเขาจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงด้วย”

 

ข้อคิด

      เปาโลฝากให้อาวุโสของพระศาสนจักรดูแลตนเองและฝูงแกะของพระเจ้า ท่านอธิษฐานภาวนาเพื่อความรอดพ้นของพระศาสนจักรที่พระจิตเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ ก่อนที่ท่านจะต้องจากไป...
พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานวอนขอต่อพระบิดาเพื่อเราเมื่อพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บนโลกนี้ และเมื่อเสด็จขึ้นไปประทับเบื้องขวาพระบิดาแล้ว เพื่อพวกเราจะไม่เป็นของโลก ไม่คล้อยตามค่านิยมทางโลก เพื่อเราจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown