www.catholic.or.th

มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

กางเขน ( The Cross )

กางเขน ( The Cross )


กางเขนซึ่งพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อความรอดของเรานั้น
ยังคงเป็นเครื่องหมายของการถวายบูชาพระองค์เองอย่างสิ้นเชิงอยู่

ในการรวมเอาแกนตั้งและแกนนอนซึ่งบรรจุสัญลักษณ์ทั้งครบของจุดสำคัญเป็นหลักนั้น กางเขนได้เข้ามามีบทบาทในทุกวัฒนธรรมและทุกศาสนา จุดรวม    ของสองแกนนี้ถือว่าเป็นจุดนัดพบ จุดรวมและ จุดสังเคราะห์ ในอีกแง่หนึ่งกางเขนเตือนสติถึงการทรมาน การรับทุกข์และการเผชิญหน้ากัน

กางเขนของพระคริสต์รัมเอาสัญลักษณ์ทั้งสองนี้ไว้ด้วยกัน  เนื่องจากในด้านหนึ่งเป็นพระแท่นของการบูชาถวายซึ่งจะต้องทำให้มนุษยชาติคืนดีกันและนำตัว เข้าไปใกล้พระเจ้ายิ่งขึ้น    แต่ในอีกด้านหนึ่งมันเป็นเครื่องมือประหารพระเยซูจนสิ้นพระชนม์ ไม่ต้องสงสัยว่ากางเขนเป็นสัญลักษณ์ของคริสตศาสนา  บัดนี้เราต้อง   พยายามทำความเข้าใจกับความหมายที่แท้จริงของกางเขน

พระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ด้วยพันธกิจแห่งการไถ่กู้และไปที่ใด "ทรงกระทำแต่ความดี" (ก จ.10:38) แต่ผู้นำฝ่ายศาสนาของประเทศชาติของพระองค์อิจฉา  พระองค์ เพราะทรงประท้วงการที่พวกเขามีความคิดแคบๆพลังของการเทศนาและขนาดของขบวนการของพระองค์ได้ทำให้พวกเขาต้องวางแผนกำจัดพระองค์    ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รับชัยชนะในช่วงปัสกา ปอนซีอัส ปีลาต  ข้าหลวงโรมันแห่งแคว้นยูเดียจำยอมเพราะแรงกดดันของชาวยิวให้ตั ดสินประหารพระองค์ด้วยข้อหาหนัก เพราะพระองค์ทรงยืนยันถึงการเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่สำหรับคริสตชนการสิ้นพระชนม์ขอ งพระเยซูมิได้เป็นจุดจบ พระคริสต์ทรงกลับคืนชีพ และทรง ประทับเบื้องพระหัตถ์ขวาของพระบิดาพระเยซูทรงทนกับการปฏิเสธของประชากรของพระองค์ เช่นเดียวกันกับโมเสสและเยเรมีย์"ด้วยการแบกเอาความผิดของพวก เขาไว้" (อสย.53:11) ทรงทำให้คำพยากรณ์ของประกาศกอิสยาห์สำเร็จไปและด้วยการสิ้นพระชนม์แล ะการกลับคืนชีพ "แม้ถูกทารุณและไม่ได้รับการยอ มรับ แต่ก็มิ  ได้ปริปากพูดเหมือนกับแกะที่ถูกนำไปโรงฆ่า" (อสย.53:7) ใช่ว่าพระคริสต์จะไม่ทรงทราบถึงจุดหมายปลายทางของพระองค์ซึ่งอธิบายไว้อย่างชัดเจนในตอนต้นๆ  ของพระวรสาร ซึ่งยอห์น บัปติสแนะนำพระคริสต์ว่าทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า(๑) ทรงดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางของพระองค์ด้วยเต็มพระทัย โดยการประกาศล่วงหน้าให้บรรดาศิษย์ของพระองค์ได้ทราบอย่างน้อยสามครั้งถึงการทรมานและมรณกรรมที่กำลังจะมาถึงพระองค์(๒)
             

การรับทุกข์ "ปัสกา"  อันนี้ด้วยการถูกประหารและความตาย  ที่จริงแล้วเป็นการนบนอบต่อความจำเป็นที่เป็นธรรมล้ำลึกแห่งแผนการการไถ่บาปของพระเจ้า      ตามที่พระเยซูทรงอธิบายแก่ศิษย์ ที่เดินทางไปเมืองเอมมาอุสหลังจากการกลับคืนชีพของพระองค์ว่า "พระคริสต์จำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้ เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ มิใช่หรือ?" (ลก.24:26) ความอดสูที่พระคริสต์ต้องรับและการตรึงกางเขนสำหรับนักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารแล้วเป็นการแต่งตั้งกษัตริย์ ปิลาตทูลถา มพระองค์ว่าทรงเป็นกษัตริย์หรือไม่ และพวกทหารเยาะเย้ยพระองค์ด้วยการเรียกพระองค์ว่าทรงเป็น  "กษัตริย์ของชาวยิว"(๓) ตามบัญชาของปีลาต(๔) และได  ้กลายเป็นเครื่องหมายแทนในเวลาต่อมาบนกางเขนมีป้ายเขียนด้วยสี่คำคือ I.N.R.I. (Iesus Nazarenus Rex Iudeorum) "เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว"

วิธีการเดียวที่จะเข้าใจการที่พระเยซูทรงเต็มพระทัยถวายองค์เป็นยัญบูชาก็ด้วยการมองว่า  เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดของความรักที่ทรงมีต่อเราและต่อพระบิดาของพระองค์(๕) รักจนถึงขนาดที่ว่าพระบุตรของพระเจ้ายอมมอบพระองค์เองอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อแผนการซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้เพื่อไถ่บาป   นี่เป็นเหตุผลที่ ตรัสก่อนทรงรับทุกข์ทรมานในการสนทนาครั้งสุดท้ายกับอัครสาวกของพระองค์ว่า  "เราจะไม่พูดกับท่านนานต่อไปอีก เพราะเจ้ าโลกนี้กำลังมา มันไม่มีอำนาจอันใด  เหนือเรา แต่โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดาและรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชาให้เราทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น" (ยน.14: 30-31)

กางเขนแห่งพระสิริรุ่งโรจน์จึงเป็นการเปิดเผยอันสูงสุดของความรักที่สมบูรณ์แบบที่สุด        พระเยซูทรงอธิบายความสำคัญนี้ในการเลี้ยงครั้งสุดท้ายเมื่อทรงตั้งศีลมหาสนิท(๖) เราเห็นภาพการตรึงกางเขนโยงไปถึงพระตรีเอกภา พในภาพพิธีล้างของพระคริสต์อันได้แก่รูปนก พิราบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าบินอยู่เหนือพระผู้ถูกตรึงพระบุตรของพระเจ้าสิ้นพระชนม์ในฐานะมนุษย์บนกางเขน    "ทรงมอบวิญญาณของพระองค์ (ยน.19: 30) ซึ่งหมายความว่าทรงมอบพระจิตเจ้าแก่เรา

น้ำและพระโลหิตที่ไหลออกจากพระสีข้างที่ถูกแทงได้ให้กำเนิดพระศาสนจักร ซึ่งก็มีความคล้ายคลึงกันกับการถือกำเนิดของเอวาซึ่งพระเจ้าทรงสร้างจากกระดูกซี่      โครงของอาดัม(๗)  บรรดาปิตาจารย์ยังได้พูดอีกว่ากางเขนเป็นเ ตียงสมรสซึ่งพระศาสนจักรเป็นเ จ้าสาวของพระเจ้าได้ตั้งครรภ์โดยพระคริสต์ทรงเป็นเจ้าบ่าว(๘)

ดังนั้นกางเขนจึงเป็นศูนย์กลางของโลกคริสตชน ภาษิตของคณะการ์ทูเซียนจึงมีว่า "กางเขนตั้งมั่นบนโลกที่หมุนใบนี้" นี่จึงเป็นเหตุให้จักรวาลของเรานี้เต็มไปด้วย      กางเขน วัดส่วนใหญ่จะถูกสร้างในรูปกางเขนจั่วและที่นั่งของนักขับร้องทำห น้าที่เป็นแกนตั้ง ตัววัด (ที่มีสองปีก)เป็นแกนนอน การที่ที่นั่งของ          นักขับร้องมักจะ เฉียงออกจ ากศูนย์กลางไปนิดหนึ่ง  ก็ได้รับการตีความว่าพระเศียรของพระคริสต์ที่ถูกตรึงเอนไปข้างหนึ่งเมื่อ "ทรงมอบวิญญาณของพระองค์"   ภายในวัดกางเขนสิบสองอันของการอภิเษก(วัด)เป็นสัญลักษณ์ของ "อัครสาวกทั้งสิบสององค์ของลูกแกะของพระเจ้า"(วว.21:14) คริสตชนมักแขวนกางเขน บน คอและกางเขนที่หน้าอก เป็นเครื่องหมายพิเศษของนายชุมพา หลุมฝังศพของคริสตชนนับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้วมักมีกางเขนตั้งอยู่

เครื่องหมายกางเขนที่เราใช้ในการอวยพรเกี่ยวข้องกับธรรมล้ำลึกของพระตรีเอกภาพ เข้ากับธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่บาป เพราะว่าในขณะที่ทำเครื่องหมายกางเขนอยู่  นั้นเราก็ออกพระนามของพระบุคคลทั้งสาม "เดชะพระนามพระบิดา (ที่หน้าผาก) พระบุตร (ที่หน้าอก) และพระจิต (ที่บ่าซ้ายไปบ่าขวา  หรือถ้าเป็นพวกออร์ธอดอกซ์ สลับข้างกัน) อาแมน" การก้าวหน้าที่เป็นสัญลักษณ์นี้สรุปชีวิตไว้อย่างครบถ้วนซึ่งได้รับแรงบันดาลจากความรักซึ่งพาไปจนถึง ที่สุดซึ่งเกินเลยไปถึงการทรมาน       และความตายของเราจนนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดรกับพระคริสต์