มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

2-8 มกราคม สมโภชพระคริสตเจ้าสำแดงองค์

 

 

 

สมโภชพระคริสตเจ้าสำแดงองค์ 

 

     ความปรารถนาอันแรงกล้าของพระเยซูเจ้าผู้สถาปนาพระศาสนจักร  และของพระศาสนจักรเองในทุกยุคทุกสมัย ก็คือความต้องการให้มนุษยชาติมีเอกภาพที่แท้จริง ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน

หนทางที่มุ่งไปสู่สากลภาพ

      มนุษยชาติกำลังมุ่งไปสู่สากลภาพซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยได้บรรลุถึงเลย และถ้าหากจะสามารถบรรลุถึงจุดหมายนี้แล้ว รูปโฉมของมนุษย์ก็คงจะต้องเปลี่ยนไป วัฒนธรรมอันดีงามต่างๆ ก็คงจะไม่จำกัดอยู่กับประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ   และความเจริญทางเทคโนโลยีก็คงจะเป็นของทุกชาติทุกภาษาโดยเท่า เทียมกัน และนี่แหละที่จะเป็นความหวังอันน่าชื่นชมยินดีสำหรับมนุษย์เราในสมัยนี้

แต่ว่ามนุษย์มีวิธีการอะไรที่จะทำให้ความใฝ่ฝันนี้ได้สำเร็จไป? 

ที่จริงมนุษย์ได้เคยทดลองใช้วิธีการมากมายหลายสิบชนิดแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยได้พบกับความสำเร็จ ตรงข้ามหลายๆครั้ง กลับก่อให้เกิดปัญหาด้วยซ้ำไป

 ต้องใช้กำลังหรือ?

 เรื่องนี้อดีตได้สอนเอาไว้อย่างดีแล้วว่า การใช้กำลังมีแต่จะนำความพินาศมาสู่มวลมนุษย์

หรือว่าให้เรามอบความหวังกับเทคโนโลยีสมัยใหม่?

แต่ว่าบ่อยๆ เทคโนโลยีเหล่านี้มักจะไม่สนใจเรื่องความเป็นบุคคลของเรามนุษย์ มิใช่หรือ? 

และที่สุด เราที่เป็นคริสตชนมีอะไรจะเสนอแนะในเรื่องนี้?

ตามพระคัมภีร์มนุษย์คนแรกที่ได้เชื่อในสากลภาพคือ อับราฮัม บิดาแห่งชนชาติ 

     พระเจ้าได้ทรงสัญญากับท่านไว้ว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าบรรดาประชาชาติต่างๆจะมาร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพงศ์พันธุ์ของท่าน และท่านก็ได้เชื่อ  เป็นพฤติกรรมอันแรกของความเชื่อที่มนุษย์ได้แสดงออก

 ประชาชาติจะเดินไปสู่แสงสว่างของพระเจ้า

      ประชาชาติอิสราแอลได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รวบรวมประชากรทั้งหลาย  ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม และดังนี้พระสัญญาแห่งสากลภาพก็จะบรรลุถึงความสำเร็จ

     ชาวอิสราแอลได้เชื่ออย่างผิดๆว่าพวกเขาสามารถสร้างเอกภาพดังกล่าวขึ้นมาได้ด้วยการปฏิบัติตามกฎระเบียบอะไรบางอย่าง เช่น การถือธรรมบัญญัติ การถือวันสับบาโต  การเข้าสุหนัต ฯลฯ

แต่ว่าจะเป็นความเชื่อของอับราฮัมที่จะสามารถรวบรวมชนชาติทุกภาษาให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้

     การประกาศว่าจะต้องมีประชากรใหม่ของพระเจ้าที่ไม่จำกัดเชื้อชาตินั้น  ได้รับการตระเตรียมล่วงหน้าในประชากรเลือกสรรและได้สำเร็จเป็นไปในองค์พระคริสตเจ้า เพราะในแผนการณ์ของพระบิดาเจ้า เป็นพระองค์เองที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า (อฟ. 1: 9 - 10 ) และทุกสิ่งที่ แตกแยกกันออกไปก็จะพบเอกภาพในพระองค์    ( อฟ. 3:6 )

โดยการเรียกปราชญ์จากแดนตะวันออก พระเยซูเจ้าได้เริ่มรวบรวมประชากรเพื่อที่จะสรรสร้างให้ เป็นครอบครัวใหญ่ของมนุษยชาติ

     โดยการดังกล่าวจะสำเร็จลงอย่างบริบูรณ์ก็ต่อเมื่อความเชื่อใน พระเยซูคริสต์จะทำให้กำแพงที่กั้นมนุษย์มิให้รวมกันจะได้พังพินาศไป และเมื่อนั้นแหละที่มนุษย์แต่ละคนจะมีจิตสำนึกว่าพวกเขาคือบุตรพระ เจ้า ได้รับการไถ่จากพระคริสต์อย่างเท่าเทียมกันและเป็นพี่น้องกัน 

 ประชากรใหม่ที่ว่านี้คือพระศาสนจักรซึ่งเป็นสังคมของผู้มีศรัทธา

      ตลอดกระแสศตวรรษพระศาสนจักรได้ตระหนักและได้เป็นองค์พยานสำหรับการเรียกอันมีลักษณะสากลนี้    คือการเรียกมนุษย์ทุกคนให้ไปสู่การช่วยให้รอดโดยอาศัยผลงานแห่งการสร้างเอกภาพของพระคริสตเจ้า

     ดังนั้น    ภาพนิมิตสุดท้ายของพระธรรมใหม่ในหนังสือวิวรณ์จึงมีความหมายมาก ( วว. 7: 4-12; 15: 3-4; 21: 24-26 ) คือ ชนทุกชาติทุกภาษาจะมากราบไหว้นมัสการพระเจ้า ผู้เป็นกษัตริย์แห่งชนชาติทั้งหลาย พวกเขาจะพักอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเลมใหม่ และในกรุงเยรูซาเลมใหม่นี้ครอบครัวของมนุษยชาติจะพบกับเอกภาพที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง

มีดาวดวงหนึ่งปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้าเสมอ

      เวลาที่เราพูดถึงเรื่อง “เอกภาพ” ก็เสี่ยงที่จะทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆ เพราะบ่อยๆ เรามักจะเข้าใจว่า “เอกภาพ” คือเอกรูปที่ต้องมีอะไรเหมือนๆ กันหมด นั่นก็คือต้องขจัดความแตกต่างใน แต่ละคนให้หมดสิ้นไปโดยให้แต่ละคนเท่าเสมอกันหมด   ความคิดดังกล่าวนี้มิใช่เป็นความคิดที่ถูกต้องเลย เพราะว่าความแตกต่างกัน  และความหมายหลายหลากของอุปนิสัยของแต่ละชาติคือความมั่งคั่งของมนุษยชาติ เช่นเดียวกันสำหรับข้อเท็จจริง ที่ว่าพระศาสนจักรต้องเป็นหนึ่งเดียวและสากลนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไม่มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไปสำหรับจะเจริญชีวิตด้วยความเชื่ออย่างเดียวกัน 

     เป็นระยะเวลาที่เนิ่นนานเกินไปที่พระศาสนจักรได้ไปผูกพันตัวเองกับวัฒนธรรมของโลกตะวันตก และกับคนขาวเพื่อที่จะพิมพ์คริสตศาสนาให้ออกมาในรูปแบบของชนชาวยุโรป  แต่ว่าพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้าจะต้องไม่เป็นพระศาสนจักรของชนชั้นกรรมกร หรือของชนชั้นผู้ดี หรือของชนชั้น   นายทุน เพราะประตูของพระศาสนจักรเปิดกว้างสำหรับทุกคน

     คริสตชนที่แท้จริงจะต้อง ไม่ปฏิเสธความแปลกใหม่ แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องทำการพิสูนจ์ว่าสิ่งแปลก ใหม่เหล่านั้นจะต้องไม่ใช่มิติใหม่ของความเชื่อในพระองค์พระคริสตเจ้าเท่านั้น ประสบการณ์ต่างๆมากมาย ในปัจจุบันนี้ซึ่งหลายๆ ครั้งอาจจะเป็นที่สะดุดสำหรับคนบางประเภท แต่ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นยาชุบชูกำลัง ให้กับชีวิตของพระศาสนจักร พระคริสตเจ้าให้บทเรียนแต่เพียงบทเดียวแก่เราว่า “จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดดวงใจและจงรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง” (เทียบ มก 1:2 30;  ยน 13:34) ในบทเรียนบทนี้ที่เราจะพบความหมาย และทิศทางนี่แหละที่เป็นดาวดวงนั้น ที่เราจะต้องเฝ้าติดตามสำหรับจะบรรลุถึงเป้าหมายและเอกภาพที่แท้จริง

 

 

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown