วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2023 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
- รายละเอียด
- หมวด: มีนาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 02 กุมภาพันธ์ 2566 03:09
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 831
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 47:1-9,12
ในครั้งนั้น เขานำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก น้ำนี้ไหลลงมาจากใต้ด้านขวาของพระวิหาร ทางทิศใต้ของพระแท่นบูชา เขานำข้าพเจ้าออกไปทางประตูด้านเหนือ และพาข้าพเจ้าอ้อมภายนอกจนถึงประตูชั้นนอกซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นว่าน้ำนี้ไหลออกมาทางด้านขวา ชายผู้นั้นเดินออกไปทางตะวันออก ถือเชือกวัดและวัดระยะทางหนึ่งพันศอก เขานำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำลึกเพียงตาตุ่ม เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำลึกถึงเข่า เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำนั้นลึกถึงบั้นเอว เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอก บัดนี้เป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำสูงขึ้นเป็นน้ำที่ต้องว่ายข้าม เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงนำข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่งแม่น้ำ เมื่อข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นต้นไม้จำนวนมากบนฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “น้ำนี้ไหลไปทางทิศตะวันออก ลงไปถึงลุ่มแม่น้ำจอร์แดน เข้าไปในทะเล เมื่อไหลเข้าไปในทะเล ก็ทำให้น้ำทะเลจืด แม่น้ำนี้ไปถึงที่ใด สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวในนั้นก็จะมีชีวิต จะมีปลาจำนวนมาก เพราะน้ำนี้ไหลไปถึงที่ใด น้ำทะเลก็จืด แม่น้ำไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็มีชีวิต ตามฝั่งทั้งสองฟากของแม่น้ำต้นไม้ผลทุกชนิดจะเจริญเติบโต ใบของมันจะไม่เหี่ยวแห้ง และผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะน้ำที่หล่อเลี้ยงต้นไม้เหล่านี้ไหลมาจากสักการสถาน ผลของต้นไม้เหล่านี้ใช้เป็นอาหาร และใบก็ใช้เป็นยารักษาโรค”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 5:1-3ก,5-16
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่าเบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต
ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วยจุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อน้ำกระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด” ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายกแคร่ที่นอนและเริ่มเดินไป วันนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ที่นอนไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด’” เขาเหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกในพระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะเกิดขึ้นแก่ท่าน”
ชายผู้นั้นจากไปแล้วบอกชาวยิวว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย ด้วยเหตุนี้ชาวยิวจึงเริ่มเบียดเบียนพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำการนี้ในวันสับบาโต
ข้อคิด
น้ำเป็นเครื่องหมายถึงชีวิต ชีวิตที่ออกมาจากพระวิหาร ออกมาจากความรักของพระเจ้า ความรักของพระเป็นชีวิตที่มอบให้ทุกคน แม้แต่คนที่ท้อแท้หรือเผชิญหน้ากับปัญหากับความตาย ความรักของพระก็ยังหล่อเลี้ยงให้ฟื้นคืนชีวิตได้ดูตัวอย่างชายที่ป่วยมาสามสิบแปดปี เมื่อได้พบกับพระเยซูเจ้า ได้พบกับความรักของพระองค์ เขาก็ได้รับการพื้นฟูรักษา มากกว่าการรักษาด้านร่างกาย พระองค์เตือนใจเราให้ระวังรักษาชีวิตพระในตัวเรา "ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำบาปอีก"
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2023 สมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนางพรหมจารีมารีย์
- รายละเอียด
- หมวด: มีนาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 02 กุมภาพันธ์ 2566 03:07
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 865
บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง 2 ซมอ 7:4-5ก,12-14ก,16
แต่ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า
“จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านจะไม่เป็นผู้สร้างวิหารให้เราอยู่ เมื่อท่านสิ้นชีวิตในวัยชรา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นบุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง เขาจะเป็นผู้สร้างวิหารให้แก่นามของเรา เราจะดูแลให้ลูกหลานของเขาเป็นกษัตริย์ครองราชย์ตลอดไป เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของ ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราตลอดไป อำนาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป’”
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 4:13,16-18,22
พี่น้อง พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้รับโลกเป็นมรดกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นโดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อ
เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชื่อ เพื่อให้พระสัญญาเป็นของประทานที่ให้เปล่า และประทานให้เชื้อสายทั้งหมดของอับราฮัม มิใช่เพียงให้ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเท่านั้น แต่รวมถึงเชื้อสายทุกคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมซึ่งเป็นบิดาของเราทุกคนด้วย ดังที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นบิดาของประชาชาติจำนวนมาก อับราฮัมเป็นบิดาของเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าที่อับราฮัมเชื่อ และทรงเป็นผู้นำคนตายให้คืนชีพ และทรงทำให้สิ่งที่ยังไม่มีภาวะความเป็นอยู่ได้มีภาวะความเป็นอยู่
แม้ดูเหมือนจะไม่มีความหวัง แต่อับราฮัมก็หวังและเชื่อว่าเขาจะเป็นบิดาของประชาชาติจำนวนมาก สมจริงตามพระสัญญาที่ว่า ลูกหลานของเจ้าจะมีจำนวนมากเช่นนั้น นี่คือความเชื่อซึ่งนับได้ว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับเขา
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 2:41-51ก
โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น
ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหาร ประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสองคน
ข้อคิด
ความชอบธรรมของผู้ชอบธรรมที่พระเจ้าโปรดปราน อยู่ที่พวกท่านสนใจ เอาใจใส่ และฟังเสียงของพระเจ้าเสมอ พวกท่านวางให้เสียงของพระเป็นสิ่งแรกและสำคัญที่สุดเสมอในชีวิตของท่าน พวกท่านเพียงยอมให้เสียงของพระเป็นที่หนึ่งในชีวิตในวันนี้ ตอนนี้ ยอมทีละครั้งทีละวัน จนสม่ำเสมอทุกวันตลอดชีวิตของท่านนี่แหละความชอบธรรมของผู้ชอบธรรม
วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม 2023 น.ซีริลแห่งเยรูซาเล็ม พระสังฆราชและนักปราชญ์
- รายละเอียด
- หมวด: มีนาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 02 กุมภาพันธ์ 2566 03:04
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 823
บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา ฮชย 5:15ค,6:1-6
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เมื่อเขามีความทุกข์ เขาจะกระตือรือร้นแสวงหาเรา มาเถิด พวกเราจงกลับไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้เราอีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น วันที่สาม จะทรงทำให้เราลุกขึ้น แล้วเราจะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเราจงรู้จัก จงรีบรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด พระองค์จะเสด็จมาอย่างแน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝน เหมือนฝนต้นฤดูใบไม้ผลิที่รดพื้นแผ่นดิน”
“เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดีกับท่าน ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอย่างไรดีกับท่าน ความรักของท่านเป็นเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนน้ำค้างที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้น เราจึงใช้บรรดาประกาศกให้ทุบเขาทั้งหลายจนแหลกลาญ เราใช้คำพูดจากปากของเราฆ่าเขา คำพิพากษาของเราจะออกมาเหมือนแสงสว่าง เพราะเราต้องการความรักมั่นคง ไม่ประสงค์การถวายบูชา เราต้องการการรู้จักพระเจ้า มากกว่าเครื่องเผาบูชา”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 18:9-14
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า
“มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’ ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อน-อก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”
ข้อคิด
จิตใจของประชากรของพระเจ้าไม่มั่นคง เมื่อเราไม่มั่นคงต่อความรักของพระเราจะสนใจเพียงความต้องการของตนเอง เราจะไม่สนใจรักเพื่อนพี่น้อง เราจะยกตนเองสูงส่งและดูถูกดูแคลนคนอื่น ความดีงามในชีวิตที่เราพยายามทำจึงนับว่าหลอกลวงหมดคุณค่า และสูญเปล่า เพราะความดีงามนั้นเราไม่ได้แบ่งปันด้วยความรักที่มีต่อพระ
วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2023 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
- รายละเอียด
- หมวด: มีนาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 02 กุมภาพันธ์ 2566 03:06
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 999
บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 16:1ข,6-7,10-13ก
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า “จงเอาน้ำมันมะกอกเทศบรรจุใส่ขวดเขาสัตว์จนเต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปที่เมืองเบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะเราเลือกบุตรคนหนึ่งของเขาเป็นกษัตริย์”
เมื่อเจสซีกับบุตรมาถึง ซามูเอลเห็นเอลีอับ ก็คิดว่า “ผู้ที่อยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นี้คือผู้ที่จะต้องรับเจิม” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “อย่าสนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงมองอย่างมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมองจิตใจ
เจสซีพาบุตรทั้งเจ็ดคนมาพบซามูเอลทีละคน แต่ซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนเหล่านี้คนใดเลย” ซามูเอลถามเจสซีว่า “บุตรชายของท่านมาหมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง แต่ขณะนี้เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่” ซามูเอลสั่งเจสซีว่า “จงส่งคนไปตามเขามาเถิด เราจะไม่นั่งกินอาหารจนกว่าเขาจะมา” เจสซีจึงส่งคนไปตามมา เด็กหนุ่มนั้นมีผมแดง ดวงตางดงาม และรูปร่างดี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขาเถอะ เป็นคนนี้แหละ” ซามูเอลก็เอาขวดเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมะกอกเทศมาเจิมดาวิดต่อหน้าบรรดาพี่ชาย พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 5:8-14
พี่น้องทั้งหลาย ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด ผลแห่งความสว่างคือความดี ความชอบธรรม และความจริงทุกประการ จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย จงอย่าเกี่ยวข้องกับกิจการแห่งความมืดซึ่งไร้ผล ตรงกันข้าม จงประณามกิจการเหล่านั้น เพราะสิ่งต่างๆ ที่ทำกันอย่างปิดบังซ่อนเร้นนั้น แม้เพียงพูดถึงก็น่าละอายแล้ว ทุกสิ่งที่ถูกประณามนั้นย่อมปรากฏชัดในความสว่าง และทุกสิ่งที่ปรากฏชัดนั้นคือความสว่าง จึงมีคำกล่าวไว้ว่า “ผู้หลับใหล จงตื่นเถิด จงลุกขึ้นจากบรรดาผู้ตาย และพระคริสตเจ้าจะทรงส่องสว่างเหนือท่าน”
บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น ยน 9:1,6-9,13-17,34-38
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงบนพื้นผสมกับดิน ป้ายตาคนตาบอด 7แล้วตรัสกับเขาว่า “จงไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด” “สิโลอัม” หมายความว่า “ถูกส่งไป” คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมามองเห็น
8เพื่อนบ้านและคนที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน พูดว่า “คนนี้เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่มิใช่หรือ” 9บางคนพูดว่า “ใช่แล้ว” บางคนพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เป็นคนอื่นที่คล้ายคลึงกัน” แต่คนที่เคยตาบอดพูดว่า “ใช่แล้ว เป็นฉันเอง”
คนเหล่านั้นจึงพาคนที่เคยตาบอดไปหาชาวฟาริสี วันที่พระเยซูเจ้าทรงถ่มพระเขฬะผสมดิน และทรงรักษาตาของคนตาบอดนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวฟาริสีได้ถามเขาอีกว่า เขามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงตอบว่า “คนนั้นเอาโคลนป้ายตาของฉัน ฉันไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” ชาวฟาริสีบางคนพูดว่า “คนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาไม่ถือวันสับบาโต” แต่บางคนแย้งว่า “คนบาปจะทำเครื่องหมายอัศจรรย์อย่างนี้ได้อย่างไร” ชาวฟาริสีเหล่านั้นมีความคิดเห็นแตกต่างกัน จึงถามคนที่เคยตาบอดอีกว่า “ท่านล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น ที่เขาทำให้ตาของท่านกลับมองเห็น” เขาตอบว่า “คนนั้นเป็นประกาศก”
คนเหล่านั้นตอบว่า “ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ” แล้วจึงขับไล่เขาออกไป
พระเยซูเจ้าทรงได้ยินว่าชาวฟาริสีขับไล่คนที่เคยตาบอดออกไป เมื่อทรงพบเขา จึงตรัสถามว่า “ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ” เขาทูลถามว่า “บุตรแห่งมนุษย์คือใคร พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะได้เชื่อในพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านได้เห็นแล้ว เป็นผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่านนี้แหละ” เขาจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า” แล้วกราบลงนมัสการพระองค์
ข้อคิด
แม้จะเป็นเวลากลางวัน ต่อให้มีแสงสว่างมากเพียงใด หากเราไม่ยอมเปิดดวงตามอง ความสว่างก็หาได้มีประโยชน์ใด เช่นเดียวกัน หากดวงตาของเราเปิด แต่ใจของเรามืดบอด ไม่ยอมเปิดรับ ชีวิตพระในชีวิตเราก็มืดดับเวลาดวงใจของเรามืดดับ ดวงตาของเราจะไม่สามารถมองเห็นและแสวงหาสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย เราจะมองเพื่อนพี่น้องจากภายนอก เราจะมองไม่เห็นถึงความดีงามจากภายในของกันและกัน "จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยเถิด"
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2023 น.ปาตริก พระสังฆราช
- รายละเอียด
- หมวด: มีนาคม 2023
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 02 กุมภาพันธ์ 2566 03:02
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 833
บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา ฮชย 14:2-10
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านเถิด ท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำที่จะพูดมาด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลพระองค์ว่า “โปรดทรงลบล้างความผิดทั้งหมด และทรงรับสิ่งที่ดี ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำคำสรรเสริญจากปากมาถวายแทนโคเพศผู้อัสซีเรียจะไม่ช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ขี่ม้าอีก จะไม่เรียกสิ่งที่มือของข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นอีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย’ เพราะลูกกำพร้าพบพระกรุณาในพระองค์”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เราจะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างสำหรับอิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน กิ่งก้านของเขาจะแผ่ขยาย เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน เขาทั้งหลายจะกลับมานั่งอยู่ใต้ร่มเงาของเรา เขาจะปลูกข้าวสาลีอีก จะทำให้เถาองุ่นผลิตผลอุดม มีชื่อเสียงเหมือนเหล้าองุ่นแห่งเลบานอนเอฟราอิมจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพอีก เราเองจะตอบและดูแลเขา เราเป็นเหมือนต้นไซเปรสใบเขียวสดอยู่เสมอ ท่านจะได้รับผลของท่านจากเรา
ผู้มีปรีชาพึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเที่ยงธรรม ผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 12:28-34
เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น”
พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย
ข้อคิด
พระเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์เสมอ และนี่คือเหตุผลที่พระทรงอภัยผู้หลงผิดและกลับใจมาหาพระองค์เสมอ พระบัญญัติเอกที่พระเยชูเจ้าทรงบอก เป็นภาพสะท้อนถึงพระเมตตารักของพระเจ้าพระบิดาและเป็นภาพสะท้อนถึงตัวเราที่รักพระอย่างแท้จริง