วันพุธที่ 21 เมษายน 2021 น.อันเซลม์ พระสังฆราช นักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร
- รายละเอียด
- หมวด: เมษายน 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 09 มีนาคม 2564 23:41
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 922
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 8:1ข-8
วันนั้น เกิดการเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างรุนแรงในกรุงเยรูซาเล็ม ทุกคนนอกจากบรรดาอัครสาวกกระจัดกระจายไปตามชนบทในแคว้นยูเดียและสะมาเรีย
ผู้มีใจศรัทธาบางคนนำศพสเทเฟนไปฝังและร่ำไห้คร่ำครวญถึงเขาอย่างมาก ส่วนเซาโลออกรังควานพระศาสนจักร เข้าไปตามบ้าน ฉุดลากทั้งชายและหญิงไปจองจำไว้ในคุก
บรรดาผู้ที่กระจัดกระจายไปเหล่านี้ออกไปยังที่ต่าง ๆ ประกาศพระวาจาเป็นข่าวดี ฟิลิปไปเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าให้ชาวเมืองนั้นฟัง ประชาชนที่ได้ฟังถ้อยคำของฟิลิป และเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่เขาทำ ก็พร้อมใจกันฟังคำสั่งสอนของเขา คนหลายคนที่ถูกปีศาจชั่วร้ายสิงอยู่ร้องเสียงดังแล้วปีศาจก็ออกไป คนอัมพาตและคนง่อยจำนวนมากหายจากโรค ประชาชนในเมืองนั้นจึงชื่นชมอย่างมาก
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:35-40
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า“เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านเห็นเราแล้ว แต่ไม่เชื่อ ทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้เรา จะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไสไปเลย เพราะเราลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อทำตามใจของเรา แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา พระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือ เราจะไม่สูญเสียผู้ใด ที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของเราก็คือ ทุกคนที่เห็นพระบุตรแล้วเชื่อในพระบุตร จะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย”
ข้อคิด
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีความเชื่อเป็นฐาน ความเชื่อมาจากความจริง ซึ่งความจริงก็มีทั้งระดับอธิบายด้วยเหตุผลได้และระดับลึกเหนือเหตุผลทั่วไป พระวรสารวันนี้พระเยซูเจ้าเรียกร้องให้เชื่อมั่นในพระองค์ เชื่อในสิ่งที่พระองค์กล่าวถึง คือ เรื่องพระบิดาและสวรรค์ ชาวคริสต์จึงมีหลักความเชื่อว่า พระเจ้าทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนกาลเวลาและเป็นนิรันดร์ พระเจ้าทรงรักโลก รักมนุษย์ ปรารถนาอยากให้มนุษย์มีชีวิตนิรันดร์เฉกเช่นพระองค์ พระเยซูเจ้ายังกล่าวถึงการกลับคืนชีพ กล่าวถึงชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ซึ่งต้องเริ่มในโลกนี้ก่อน ความมั่นใจของชาวคริสต์คือชีวิตมิได้ถูกจำกัดด้วยเวลา ความตายเป็นประตูผ่านไปสู่มิติของนิรันดร์กาล การเชื่อมั่นในพระเยซูคริสตเจ้าอย่างจริงใจ เชื่อในวาจาทุกคำที่พระองค์ตรัสก็เป็นประตูสู่สวรรค์นิรันดร์อีกบานหนึ่งเช่นกัน
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2021 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา
- รายละเอียด
- หมวด: เมษายน 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 09 มีนาคม 2564 23:40
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 904
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 8:26-40
ในครั้งนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟิลิปว่า “จงลุกขึ้น และเดินไปทางทิศใต้ ตามทางที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกาซา ทางนั้นเป็นทางเปลี่ยว” ฟิลิปจึงลุกขึ้นออกเดินทาง ระหว่างทางเขาพบชาวเอธิโอเปียคนหนึ่ง เป็นขันที ข้าราชการของพระราชินีคานดาสีของชาวเอธิโอเปีย เป็นผู้ดูแลราชทรัพย์ทั้งหมดของพระนางและมานมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะเดินทางกลับ เขานั่งในรถม้าและอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ พระจิตเจ้าตรัสสั่งฟิลิปว่า “จงตามรถคันนั้นไปให้ทัน” ฟิลิปวิ่งตามไป ได้ยินเขากำลังอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจข้อความที่กำลังอ่านหรือ” ขันทีตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครอธิบาย” แล้วเขาก็เชิญฟิลิปขึ้นไปนั่งด้วย ข้อความของพระคัมภีร์ที่เขากำลังอ่านอยู่นั้น มีดังนี้
“เขาถูกนำไปฆ่าเหมือนแกะตัวหนึ่ง ลูกแกะไม่ออกเสียงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนตัดขนแกะฉันใด เขาก็ไม่อ้าปากฉันนั้น เมื่อเขาถูกเหยียดหยาม เขาไม่ได้รับความยุติธรรมเลย ใครจะเล่าเรื่องเชื้อสายของเขาได้ เพราะชีวิตของเขาถูกยกไปจากแผ่นดินนี้แล้ว”
ขันทีจึงถามฟิลิปว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ประกาศกกล่าวเช่นนี้หมายถึงใคร หมายถึงตนเองหรือหมายถึงผู้อื่น” ฟิลิปจึงเริ่มประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าให้เขาฟัง โดยอธิบายพระคัมภีร์เริ่มตั้งแต่ตอนนี้
ขณะเดินทางอยู่นั้น ทั้งสองคนมาถึงแหล่งน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีกล่าวว่า “ดูซิ ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดขวางมิให้ข้าพเจ้ารับศีลล้างบาป” เขาสั่งให้หยุดรถ ทั้งฟิลิปและขันทีลงไปในน้ำ ฟิลิปล้างบาปให้ขันที เมื่อทั้งสองคนขึ้นจากน้ำแล้ว พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำฟิลิปไปที่อื่น ขันทีไม่เห็นฟิลิปอีก เดินทางต่อไปด้วยความยินดี ส่วนฟิลิปนั้นมีผู้พบที่เมืองอาโซทัส เขาเดินทางผ่านเมืองต่างๆ ประกาศข่าวดีจนมาถึงเมืองซีซารียา
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:44-51
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขา และเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร แล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต”ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร”
ข้อคิด
พระวาจาของพระอาจารย์เจ้าในวันนี้กล่าวถึงเนื้อและเลือดของพระองค์ที่ปรากฏในรูปปังและเหล้าศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการเสกโดยการกล่าวทวนซ้ำพระวาจาของพระองค์ขณะที่พระองค์รับประทานอาหารมื้อค่ำครั้งสุดท้ายพร้อมกับศิษย์ พระองค์ตรัสว่า..นี่เป็นกายของเรา..นี่เป็นโลหิตของเรา...เราชาวคริสต์เชื่อว่าทุกครั้งที่ทำพิธีรำลึกถึงการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายและกล่าวย้ำคำที่พระองค์ตรัสนั้น จิตวิญญาณและความรักของพระองค์จะอยู่กับเราเสมอ บางคนอาจตีความพระวาจาของพระองค์ว่าเป็นเพียงพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเท่านั้น แต่เราชาวคาทอลิกเชื่อว่า พระวาจานี้มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น คือมิได้เป็นเพียงการระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต แต่ปังและเหล้าองุ่น ได้กลายเป็นเนื้อและเลือดของพระองค์ในมิติปัจจุบันด้วย และนอกจากนั้น พิธีนี้ยังเป็นการสืบสานความรักของพระองค์ต่อไปจนสิ้นพิภพด้วย
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2021 น.ฟีเดลิส แห่งซิกมาริงเก็น พระสงฆ์และมรณสักขี
- รายละเอียด
- หมวด: เมษายน 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 09 มีนาคม 2564 23:37
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1001
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 9:31-42
ขณะนั้น พระศาสนจักรมีสันติภาพทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรีย พระศาสนจักรเติบโตขึ้น มีความเคารพยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับกำลังใจจากพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อเปโตรเดินทางไปเยี่ยมผู้มีความเชื่อในที่ต่าง ๆ เขาไปเยี่ยมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองลิดดาด้วย ที่นั่นเขาพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัส เป็นอัมพาตนอนอยู่บนแคร่มาแปดปีแล้ว เปโตรจึงพูดกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสตเจ้าทรงรักษาท่านให้หาย จงลุกขึ้นและเก็บที่นอนเถิด” เขาก็ลุกขึ้นทันที เมื่อเห็นดังนี้ ทุกคนที่อยู่ในเมืองลิดดาและในที่ราบชาโรนก็กลับใจมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในบรรดาศิษย์ที่เมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งชื่อทาบีธา แปลว่า “เนื้อทราย” ทำความดีและให้ทานเป็นอันมาก ระหว่างนั้นนางป่วยและถึงแก่กรรม เขาทำความสะอาดศพและตั้งศพไว้ในห้องชั้นบน เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา บรรดาศิษย์รู้ว่าเปโตรอยู่ที่เมืองลิดดา จึงส่งชายสองคนไปเชิญเขาว่า “โปรดรีบมาหาเราเถิด”
เปโตรไปกับเขาทันที เมื่อไปถึง เขาก็พาเปโตรขึ้นไปยังห้องชั้นบน บรรดาหญิงม่ายมาห้อมล้อม ทุกคนต่างร้องไห้และชี้ให้เปโตรดูเสื้อผ้าทั้งชั้นนอกชั้นในที่ทาบีธาตัดเย็บให้เมื่อนางยังมีชีวิต เปโตรจึงสั่งให้ทุกคนออกไปข้างนอก เขาคุกเข่าอธิษฐานภาวนาแล้วหันมาดูศพ พูดว่า “ทาบีธาเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” นางก็ลืมตาขึ้นมองดูเปโตรและลุกขึ้นนั่ง เปโตรจึงยื่นมือพยุงให้นางยืน แล้วเรียกบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และบรรดาหญิงม่ายเข้ามา ชี้ให้เห็นว่านางยังมีชีวิต เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วเมืองยัฟฟา หลายคนมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:60-69
เวลานั้น เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนี้ก็กล่าวว่า “ถ้อยคำนี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้” พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์ว่าบรรดาศิษย์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ จึงตรัสแก่เขาว่า “เรื่องนี้ทำให้ท่านเคลือบแคลงใจเราหรือ แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่ที่เคยอยู่แต่ก่อนเล่า ท่านจะว่าอย่างไร พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลำพังมนุษย์ทำอะไรไม่ได้ วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต เพราะมาจากพระจิตเจ้า แต่บางท่านไม่เชื่อ”
พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ใดไม่เชื่อ และผู้ใดจะทรยศต่อพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ดังนั้น เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดมาหาเราได้ เว้นแต่ผู้ที่พระบิดาประทานให้เขามา” หลังจากนั้น ศิษย์หลายคนเปลี่ยนใจ ไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป
พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า “ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร พวกเราเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
ข้อคิด
คำสอนของพระเยซูเจ้าบางเรื่องเข้าใจยากและฟังแล้วรู้สึกขัดๆ อันนี้ก็จริง... เพราะความจริงที่พระจิตเจ้าสื่อกับมนุษย์นั้นเป็นความจริงระดับลึกและกว้างไกล พระเยซูเจ้าทราบดีว่าคนที่ฟังพระองค์นั้นรู้สึกอย่างไร พระองค์จึงให้ความมั่นใจว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นล้วนมาจากพระจิตเจ้า เหตุนี้หลายคนไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไปซึ่งพระองค์ก็ไม่เสียใจ เพราะพระองค์ต้องให้ศิษย์เชื่อมั่นในพระองค์มากกว่าคิดเรื่องผลประโยชน์อื่นใด คริสตชนบางครั้งจะพบปัญหาว่าพระศาสนจักรเรียกร้องให้ทำเรื่องที่ยากเหลือเกิน เป็นคริสตชนแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย... ซึ่งก็จริง หากเราติดตามพระองค์เพียงเพื่อผลประโยชน์เรื่องปากท้องอย่างเดียว แต่หากเราติดตามพระองค์เพื่อว่าชีวิตจะพบความหมายและมีคุณค่า ทุกๆวันจะมีอาหารเลี้ยงชีวิตนิรันดร์วางเบื้องหน้าเราเสมอ
วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2021 น.ยอร์จ มรณสักขี
- รายละเอียด
- หมวด: เมษายน 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 09 มีนาคม 2564 23:39
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 900
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 9:1-20
ขณะนั้น เซาโลยังคงเคียดแค้นคุกคามจะฆ่าบรรดาศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเข้าไปพบมหาสมณะ ขอหนังสือมอบอำนาจไปยังศาลาธรรมต่างๆ ในเมืองดามัสกัส เพื่อจะได้จับกุมทุกคนที่พบ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ดำเนินชีวิตตามวิถีทาง ของพระคริสตเจ้า แล้วนำไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ขณะที่เขาเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวเขาไว้ เขาล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงกล่าวว่า “เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเราทำไม” เซาโลจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่งท่านกำลังเบียดเบียน ท่านจงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองแล้วจะมีคนบอกให้รู้ว่าจะต้องทำอะไร” คนที่เดินทางพร้อมกับเซาโลยืนนิ่งพูดไม่ออก เขาได้ยินเสียงพูดแต่ไม่เห็นใครเลย เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้นดิน ลืมตา แต่ก็มองสิ่งใดไม่เห็น คนอื่นจึงจูงมือเขา พาเข้าไปในเมืองดามัสกัส เซาโลมองไม่เห็นสิ่งใดเลยเป็นเวลาสามวัน ไม่ได้กินและไม่ได้ดื่ม
ที่เมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่อ อานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขาในนิมิตว่า “อานาเนีย” อานาเนียทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนซึ่งเรียกว่าถนนตรง จงไปที่บ้านของยูดาส ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส ขณะนี้เซาโลกำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ และเห็นชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียในนิมิตเข้ามาปกมือให้ เพื่อให้เขามองเห็นได้อีก”
แต่อานาเนียทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินหลายคนพูดถึงชายผู้นี้ และได้ยินว่า ที่กรุงเยรูซาเล็มเขาได้ทำร้ายบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพียงใด และที่นี่เขาได้รับอำนาจจากบรรดาหัวหน้าสมณะให้มาจับกุมทุกคนที่เรียกขานพระนามของพระองค์” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบอานาเนียว่า “จงไปเถิด เพราะชายผู้นี้เป็นเครื่องมือที่เราเลือกสรรไว้เพื่อนำนามของเราไปประกาศแก่คนต่างศาสนา บรรดากษัตริย์และลูกหลานของอิสราเอล เราจะแสดงให้เขารู้ว่า เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเท่าใดเพราะนามของเรา” อานาเนียจึงจากไป และเข้าไปในบ้าน ปกมือเหนือเซาโล กล่าวว่า “เซาโลน้องรัก พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งทรงสำแดงพระองค์แก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ทรงส่งข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะมองเห็นได้อีกและได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดตกจากนัยน์ตาของเซาโล เขามองเห็นได้อีก จึงลุกขึ้นรับศีลล้างบาป เมื่อกินอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น
เซาโลพักอยู่กับบรรดาศิษย์ที่เมืองดามัสกัสระยะหนึ่ง เขาเทศน์สอนในศาลาธรรมทันที ประกาศว่า “พระเยซูเจ้าพระองค์นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:52-59
เวลานั้น ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กินแล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม
ข้อคิด
พระเยซูเจ้าตรัสว่า ..เนื้อของพระองค์เป็นอาหารแท้ โลหิตของพระองค์เป็นเครื่องดื่มแท้.. คำพูดเช่นนี้เป็นคำเปรียบเทียบหมายถึง พระองค์ปรารถนาให้เรามีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับพระองค์ มีภาพของพระองค์ติดตาตรึงใจเสมอ คำว่า กินเนื้อและดื่มโลหิต ก็เช่นกัน คนเราต้องกินต้องดื่มถึงจะมีชีวิต หากเราปรารถนาชีวิตของพระองค์มาเป็นชีวิตของเรา เราจำต้องกินและดื่มพระองค์ที่อยู่ในรูปของปังและเหล้าองุ่นศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง เหตุนี้ชีวิตคริสตชนจะไม่เต็มเปี่ยมหากขาดการรับปังศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลานาน ชาวคริสต์ที่ดีจึงตระหนักเสมอว่า ชีวิตประจำวันของเขาไม่เพียงแต่ต้องกินและดื่มอาหารฝ่ายกาย แต่เขาต้องขวนขวายหาอาหารฝ่ายจิตด้วย คำสอนที่ว่า จงร่วมพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณทุกวันอาทิตย์จึงเป็นคำแนะนำเพื่อได้มาซึ่งชีวิตนิรันดร์นั่นเอง
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2021 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา
- รายละเอียด
- หมวด: เมษายน 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 09 มีนาคม 2564 23:36
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 975
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 4:8-12
ในครั้งนั้น เปโตรเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้ากล่าวแก่เขาว่า “ท่านผู้ปกครองประชาชน และผู้อาวุโสทั้งหลาย! วันนี้เราได้ทำความดีรักษาผู้ป่วยคนหนึ่ง เราจึงถูกสอบสวนว่าคนนี้หายจากโรคได้อย่างไร? ท่านทั้งหลายและประชาชนอิสราเอลทุกคนจงทราบเถิดว่า ชายคนนี้หายจากโรคมายืนอยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลาย ก็เพราะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านได้เอาไปตรึงกางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าองค์นี้ทรงเป็นศิลาซึ่งท่านทั้งหลายผู้เป็นช่างก่อสร้างได้ขว้างทิ้งเสีย แต่ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม ไม่มีผู้ใดช่วยให้เรารอดพ้น เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้
บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์น ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 3:1-2
พี่น้องที่รักยิ่ง จงดูเถิดว่า ความรักที่พระบิดาประทานให้แก่เรานั้นยิ่งใหญ่เพียงไร เพื่อทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ! โลกไม่รู้จักเรา เพราะโลกไม่ได้รู้จักพระองค์
ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไรในอนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์จะทรงปรากฏ เราจะเป็นเสมือนพระองค์ เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 10:11-18
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน ลูกจ้าง ที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยง และไม่เป็นเจ้าของแกะ เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามา ก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไป สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็กระจัดกระจายไป ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา
พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใด เราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้น เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา เรายังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เราต้องนำหน้าแกะเหล่านี้ด้วย แกะจะฟังเสียงของเรา จะมีแกะเพียงฝูงเดียว และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว พระบิดาทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เราเองสมัครใจสละชีวิตนั้น เรามีอำนาจที่จะสละชีวิตของเรา และมีอำนาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก นี่คือพระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา”
ข้อคิด
พระวรสารวันนี้สะท้อนถึงภาวะจิตใจของพระเยซูเจ้าชัดเจนว่า พระองค์ยินดีสละชีวิตเพื่อมนุษยชาติ พระองค์เปรียบเทียบว่าเราเป็นเหมือนลูกแกะและพระองค์เป็นผู้เลี้ยงที่รักฝูงแกะมาก แต่ปัญหาคือลูกแกะเมื่อพบแหล่งน้ำหรือทุ่งหญ้าเขียวขจี มักจะลืมผู้เลี้ยง....คริสตชนเราก็ไม่ผิดกับลูกแกะเหล่านั้นเมื่อได้ดีก็มักจะลืมพระ ลืมหลักการของชาวคริสต์ ลืมความหมายของการเป็นลูกของพระ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เลี้ยงที่ดีแล้ว ภาวะเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเขาเห็นลูกแกะสนใจแต่หญ้าเขียวจนลืมฝูงและไม่ระวังอันตรายที่มีรอบด้าน ผู้เลี้ยงที่ดีก็จะปกป้องลูกแกะให้ปลอดภัย... คริสตชนเมื่อพบกับความเจ็บปวดจึงต้องตั้งสติ เพราะนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่พระกำลังสอนหรือกำลังนำเราออกจากอันตรายที่เรามองไม่เห็น...เชื่อเถิดพระองค์คือผู้เลี้ยงแกะที่ดี