มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2020 สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง     1 คร 9:16-19,22-27

    พี่น้อง ในการประกาศข่าวดีข้าพเจ้าไม่รู้สึกภูมิใจแม้แต่น้อย เพราะข้าพเจ้าจำเป็นต้องประกาศอยู่แล้ว หากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวดี ข้าพเจ้าย่อมได้รับความวิบัติ เพราะถ้าข้าพเจ้าสมัครใจทำเอง ข้าพเจ้าก็จะได้รับค่าจ้าง แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้สมัครใจทำก็หมายความว่า ข้าพเจ้าเพียงแต่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ข้าพเจ้าจะได้รางวัลใดเล่า รางวัลสำหรับข้าพเจ้าก็คือความภูมิใจที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวดีให้ โดยไม่ใช้สิทธิต่างๆ จากการประกาศข่าวดีนั้น
แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระ ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ข้าพเจ้าทำตนเป็นผู้อ่อนแอเพื่อชนะใจผู้อ่อนแอ ข้าพเจ้าเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ใช้ทุกวิถีทางช่วยบางคนให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทำทุกอย่างเพราะเห็นแก่ข่าวดี เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนรับพระพรจากข่าวดีนี้ร่วมกับเขาเหล่านั้นด้วย
     ท่านไม่รู้หรือว่าคนที่วิ่งแข่งในสนามกีฬา ทุกคนวิ่งก็จริง แต่มีเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัล ท่านจงวิ่งเช่นนั้นด้วย เพื่อชิงรางวัลให้ได้ นักกีฬาทุกคนที่เข้าแข่งขันย่อมบังคับตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้รับมงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่เราทำเช่นนี้เพื่อจะได้รับมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรย ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งแข่งอย่างมีจุดหมาย ข้าพเจ้ามิได้ชกอย่างคนชกลม แต่ข้าพเจ้าเคร่งครัดต่อร่างกายเพื่อบังคับให้ร่างกายอยู่ใต้อำนาจของข้าพเจ้า ด้วยเกรงว่าหลังจากที่ได้เทศน์สอนคนอื่นแล้ว ข้าพเจ้าอาจถูกตัดสิทธิ์เพราะผิดกติกา

 

สดด 84:1-2,3-4,5-6,11-12

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 6:39-42
     เวลานั้น พระเยซูเจ้ายังตรัสอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังอีกว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งคู่จะตกลงไปในคูมิใช่หรือ ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘พี่น้อง ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่ท่านไม่เห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเอง ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด ท่านจะเห็นชัด แล้วจึงค่อยไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง”

 

ข้อคิด
     การพิศเพ่งพระวาจาของพระเจ้า การไตร่ตรองพระวาจาเสมอนั้นเราจะพบความจริงที่ว่า"พระวาจาของพระองค์คือโคมทองส่องทางชีวิต" จะไม่มีวันสะดุดล้มแน่นอน พ่ออยากจะสรุปพระวาจาวันนี้ว่าไม่ใช่เรื่องการเขี่ยเศษฟาง แต่ที่พ่อมั่นใจคือ พระวาจาวันนี้จะทำให้เราไม่ตาบอดอีกต่อไป วิญญาณจะไม่บอดอีกต่อไป เราจะได้เห็นได้ไตร่ตรองพระวาจา ทำให้วิญญาณของเราได้เห็นตนเองชัดเจน เป็นโคมส่องชีวิต ส่องทางเราและพี่น้องของเรา เมื่อเราพบพระวาจา เราจะพบตนเอง และเราจะพบเพื่อนพี่น้องด้วยสายตาที่ไม่บอดหรือมีอุปสรรคขัดขวางอย่างแน่นอน

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2020 พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระนางมารีย์พรหมจารี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง   1 คร 10:14-22
     พี่น้องที่รักยิ่ง ท่านจงหลีกเลี่ยงการกราบไหว้รูปเคารพ ข้าพเจ้าพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้มีปัญญา ท่านจงพิจารณาตัดสินสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังจะพูดนี้เถิด ถ้วยถวายพระพรซึ่งเราใช้ขอบพระคุณพระเจ้านั้น มิได้ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสตเจ้าหรือ และปังที่เราบินั้น มิได้ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสตเจ้าหรือ มีปังก้อนเดียว แม้ว่าจะมีหลายคนเราก็เป็นกายเดียวกัน เพราะเราทุกคนมีส่วนร่วมกินปังก้อนเดียวกัน จงพิจารณาชาวอิสราเอลในอดีต ผู้ที่กินเนื้อสัตว์จากของถวายก็มีส่วนร่วมในพระแท่นบูชามิใช่หรือ ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เนื้อสัตว์ที่ถวายแด่รูปเคารพนั้นมีความสำคัญอะไรหรือ รูปเคารพนั้นมีความสำคัญอะไรหรือ เปล่าเลย ข้าพเจ้าหมายความว่าสิ่งที่เขาถวายนั้น เขาถวายแก่ปีศาจ มิใช่ถวายแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้ท่านร่วมกับพวกปีศาจ ท่านจะดื่มทั้งจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจากถ้วยของปีศาจไม่ได้ จะร่วมโต๊ะทั้งกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และร่วมโต๊ะกับพวกปีศาจไม่ได้ เราจะยั่วยุองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ขุ่นเคืองพระทัยกระนั้นหรือ เรามีกำลังมากกว่าพระองค์หรือ

 

สดด 116:12-13,17-18

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 6:43-49
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“ต้นไม้ที่เกิดผลไม่ดีย่อมไม่ใช่ต้นไม้พันธุ์ดี หรือต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมไม่ให้ผลดีเช่นกัน เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น เราย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม หรือเก็บผลองุ่นจากกอหนาม คนดีย่อมนำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีในใจของตน ส่วนคนเลวย่อมนำสิ่งที่เลวออกมาจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน เพราะปากย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา
     ทำไมท่านจึงเรียกเราว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า’ แต่ไม่ปฏิบัติตามที่เราบอกทุกคนที่มาหาเราย่อมฟังคำของเราและนำไปปฏิบัติ เราจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า เขาเปรียบเสมือนผู้ใด เขาเปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้าน เขาขุดหลุม ขุดลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน เมื่อเกิดน้ำท่วม น้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะบ้านหลังนั้น แต่ทำให้บ้านนั้นสั่นคลอนไม่ได้ เพราะบ้านหลังนั้นสร้างไว้อย่างดี แต่ผู้ที่ฟังและไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนพื้นดินโดยไม่มีรากฐาน เมื่อน้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะ บ้านนั้นก็พังทลายลงทันที และเสียหายมาก”

 

ข้อคิด
     ยิ่งมั่นใจในความมั่นคงได้สิน่า... พระวาจา ฟัง และปฏิบัติตาม มั่นคงแน่นอน ความจริงพ่อก็ไม่อยากบังคับคนอ่านพระวาจาวันนี้ให้ต้องยอมรับว่าพระวาจานั้นสำคัญที่สุดจริงๆ พระคัมภีร์ พระวาจาของพระเจ้านั้นสำหรับพ่อสุดแสนมั่นใจในความเชื่อของเราคริสตชน "เราจะไปหาใคร พระเจ้าข้า พระองค์ผู้เดียวมีพระวาจาที่ให้ชีวิตนิรันดร" เปโตรเคยยืนยันเช่นนี้ในพระวรสารนักบุญยอห์น แล้วลูกาย้ำว่าถ้าฟังและปฏิบัติตามนั้น ก็จะเกิดผลดีเหมือนต้นไม้พันธุ์ดี และแข็งแกร่งไม่หวั่นไหวเหมือนบ้านแข็งแรง... จะทำอย่างไรหนอให้คริสตชนเราเชื่อสุดจิตใจว่ารากฐานหรือสายพันธุ์ดีของเราคือชีวิตที่หยั่งรากลึกในพระวาจาของพระเจ้าจริงๆ ขอให้เราฟัง อ่าน และลงมือปฏิบัติตามพระวาจา

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2020 ฉลองเทิดทูนไม้กางเขน

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                        กดว 21:4-9
     ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกก เพื่อเลี่ยงแผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน 5จึงพากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้ ที่นี่ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำบาปเพราะบ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเถิด” โมเสสจึงวอนขอพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำงูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต

 

สดด 78:1-2,34-35,36-38

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี      ฟป 2:6-11
     พี่น้อง แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 3:13-17
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ จะมีชีวิตนิรันดร พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น

 

ข้อคิด
     เราเทิดทูนไม้กางเขน เราไม่ได้เทิดทูนความตาย การมองดูพระเยซูผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนไม่ได้ทำให้เราศรัทธาหรือบูชาความตายสักหน่อย แต่การเทิดทูนกางเขนนั้น เราคริสตชนคาทอลิก เราเห็น "ไม่ใช่ความตายบนนั้น" แต่เราเห็นชัดถึง "ความรักจนยอมตายเพื่อเรา" ที่ว่า "ทรงรักเราถึงเพียงนี้จริงๆ" (Sic nosamantem ชิค นอส อามันแตม) นี่ต่างหากคือสัจธรรม ทรง "ยอมเพราะรัก" นี่คือพระเจ้าที่ทรงรักเราขนาดนี้ "ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน" กางเขนที่ยกขึ้น คือการยกบูชาความสูงส่งแห่งความรักของพระเจ้าจริงๆ เราเทิดทูนกางเขน เพราะเราเทิดทูน "ความรักที่พระเจ้าทรงรักเรา"ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เทิดทูนความรักแบบพระเยซูเสมอไป

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2020 สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                           บสร 27:30-28:7
     ความเคียดแค้นและความโกรธเป็นสิ่งน่ารังเกียจ แต่คนบาปกลับยึดไว้แน่น ผู้ใดแก้แค้นก็จะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้แค้น พระองค์จะทรงจดบัญชีบาปไว้อย่างเคร่งครัด จงให้อภัยเพื่อนบ้านที่ทำผิดต่อท่าน แล้วบาปของท่านจะได้รับการอภัย เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา ถ้าผู้ใดสุมความโกรธต่อผู้อื่นไว้ เขาจะขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักษาเขาให้หายได้อย่างไร ถ้าเขาไม่มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขาจะกล้าอธิษฐานภาวนาขออภัยบาปของตนได้อย่างไร เขาเป็นเพียงมนุษย์ที่อ่อนแอ แล้วยังอาฆาตมาดร้าย ผู้ใดจะอภัยบาปแก่เขาได้ จงระลึกถึงบั้นปลายของท่าน แล้วเลิกเกลียดชังเถิด จงระลึกถึงความเน่าเปื่อยและความตาย แล้วท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างซื่อสัตย์ จงระลึกถึงบทบัญญัติและอย่าเคียดแค้นเพื่อนบ้าน จงระลึกถึงพันธสัญญาของพระผู้สูงสุด แล้วมองข้ามการล่วงเกินที่ท่านได้รับ

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม       รม 14:7-9
      พี่น้อง ไม่มีพวกเราคนใดที่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง และไม่มีผู้ใดตายเพื่อตนเองเช่นเดียวกัน ถ้าเรามีชีวิตอยู่ ก็มีชีวิตอยู่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเราตาย เราก็ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่หรือตาย เราก็เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเหตุนี้เอง พระคริสตเจ้าจึงสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพ เพื่อจะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งของผู้ตายและของผู้เป็น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 18:21-35
      เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่”
     พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่เป็นพันล้านบาท เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’
     เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”

 

ข้อคิด
     คนมีพระเจ้าจะเป็นอย่างไร อ่านพระวาจาวันอาทิตย์นี้... พบได้ชัดเจนมาก นำมาทำให้เป็นจริง ความโลภ ความเกลียด อาฆาตพยาบาท ความโกรธ ฯลฯ พระวาจาวันนี้ชี้หนทางแก้ไขได้ชัดเจนพระเจ้าคือคำตอบ ชีวิตที่มีพระเจ้าคือคำตอบแท้จริง ถ้ายกสายตาขึ้นหาพระเจ้าแล้วมองดูเพื่อนพี่น้องด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักให้อภัย เมตตา จริงใจ ด้วยสายตาที่มีพระเจ้าจริงๆ ถ้าพระเจ้าให้อภัยเรา เราก็ต้องให้อภัยเพื่อนพี่น้อง และการให้อภัยนั้นไม่เพียงไม่เอาผิด แต่นำไปถึงการยกโทษ และยกหนี้ เพราะนั่นคือความรักแบบที่พระเจ้ารักเรา และเป็นคำสอนในพระวรสารนักบุญมัทธิวบทที่ 18 เป็นบทที่มีคำว่า "พระศาสนจักร" ชัดเจนที่สุด คำเทศน์เรื่องพระศาสนจักรอยู่ที่นั่น

วันอังคารที่ 15 กันยายน 2020 ระลึกถึงแม่พระมหาทุกข์

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                    ฮบ 5:7-9
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระชนมชีพบนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงอธิษฐาน ทูลขอ คร่ำครวญและร่ำไห้ต่อพระเจ้าผู้ทรงช่วยพระองค์ให้พ้นความตายได้ พระเจ้าทรงฟังเพราะความเคารพยำเกรงของพระเยซูเจ้า ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์

 

สดด 31:1-2,3,4-5,14-15,19

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 19:25-27
     เวลานั้น พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมกับน้องสาวของพระนาง มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” ตั้งแต่เวลานั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน

 

ข้อคิด
     แม่พระคือต้นแบบชีวิตคริสตชน คือ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าโดยทางพระเยซู หัวใจของพระแม่คือดวงหทัยนิรมลเพราะเกี่ยวข้องและสืบเนื่องกับพระหฤทัยของพระเยซูที่รักจนยอมมอบชีวิต รับความตายเพื่อความรอดพ้นของมนุษยชาติ พระแม่มารีย์ได้รับเกียรติสูงดุจการที่พระเยซูได้รับการเทิดทูนบนไม้กางเขนใครก็ตามที่ยอมรับพระเยซูเต็มหัวจิตหัวใจที่สุด ก็เห็นจะมีแม่พระเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ยอมรับพระเยซูเช่นนั้น จนพระนางได้เป็นตั้นแบบสำหรับเราทุกคนในการร่วมชีวิตกับพระเยซูในการบังเกิดในการฟังพระวาจาปฏิบัติตาม และการรับความทุกข์เพราะความรักดังเช่นพระองค์ แม่พระมหาทุกข์สอนเราให้เป็นเหมือนพระแม่ คือ ร่วมชีวิตตอบรับพระเยซูสุดจิตวิญญาณและหัวใจ จนเราได้ชื่อว่าเป็นศิษย์แท้ เป็นพี่น้องของพระเยซู

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown