พระสันตะปาปาทรงร่วมกับคนทั่วโลกในโครงการรณรงค์ “เทียนแห่งสันติในประเทศซีเรีย” พระองค์ทรงกระทำดังนี้
- รายละเอียด
- หมวด: vatican news
- เขียนโดย คุณพ่อพงศ์เทพ ประมวลพร้อม
- ฮิต: 287
พระสันตะปาปาทรงจุดเทียนหนึ่งในหลายหมื่นเล่มทั่วโลก รณรงค์โครงการเพื่อคริสตชนในประเทศซีเรีย
• พระสันตะปาปาทรงร่วมกับคนทั่วโลกในโครงการรณรงค์ “เทียนแห่งสันติในประเทศซีเรีย” พระองค์ทรงกระทำดังนี้
++ พระสันตะปาปาฟรังซิส ++
“พ่อปรารถนาจะแสดงออกด้วยตัวพ่อเอง ต่อความหวังในสันติภาพสำหรับเด็กๆ ในประเทศซีเรีย
ประเทศซีเรียอันเป็นที่รัก ต้องทนทรมานจากสงครามนาน 9 ปี
ดังนั้นขณะที่พ่อร่วมในการนำความช่วยเหลือให้แก่พระศาสนจักรที่ต้องการ พ่อขอจุดเทียน พร้อมกับเด็กๆ ก็จะร่วมจุดกับพ่อ มีเด็กชาวซีเรียและที่อื่นๆ ทั่วโลกกำลังจุดพร้อมพ่อ”
• พระสันตะปาปาทรงเชิญให้ผู้มาเข้าเฝ้าได้ร่วมภาวนากับพระองค์ เพื่อสันติภาพในประเทศซีเรีย และเพื่อคริสตชนที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศนั้น
++ พระสันตะปาปาฟรังซิส ++
“ให้เราภาวนาและช่วยเหลือคริสตชนที่ยังเหลืออยู่ในประเทศซีเรียและตะวันออกกลาง อันเป็นพยานถึงความเมตตา การให้อภัย และการกลับคืนดีต่อกัน”
• “เทียนแห่งสันติในประเทศซีเรีย” เป็นการรณรงค์ที่เริ่มได้สองสามวันแล้วในเขตปกครองวัดและโรงเรียน ในประเทศซีเรีย
• เมืองที่ได้รับความเสียหายจากสงครามเช่น เมืองฮอมส์ อาเล็ปโป และดามัสกัส เหยื่อจากความขัดแย้ง ร่วมกันตกแต่งเทียนและจุดสว่าง เป็นเครื่องหมายถึงสันติภาพในประเทศของพวกเขา
• ขณะนี้เทียนได้ถูกจุดไปทั่วโลก แต่ละเล่มมีความหมายเตือนเราถึงสถานการณ์น่าเศร้าและช่วยปลุกจิตสำนึกเรื่องนี้
• เทียนที่พระสันตะปาปาทรงจุดนี้มีความเป็นมา มันได้รับการจัดทำมาจากซิสเตอร์แอนนี่ เดแมร์เจียน ร่วมกับศิลปินชาวซีเรียที่อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส
เทียนแสดงรูปใบหน้าของเด็กกว่า 40 คน จากเมืองอาเล็ปโป
• ซิสเตอร์แอนนี่เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของโครงการที่เริ่มรณรงค์จากสันตะสำนัก โดยมูลนิธิช่วยเหลือแก่พระศาสนจักรที่ต้องการ (the pontifical foundation Aid to the Church in Need [ACN])
• องค์การนี้สนับสนุนทุกคนให้ร่วมจุดเทียนกับพระสันตะปาปาเพื่อประเทศซีเรีย และร่วมภาวนาเพื่อหาหนทางช่วยเหลือประชาชนซีเรียในช่วงเทศกาลคริสต์มาสนี้
• พร้อมกับเงินบริจาคที่ได้รับจากโครงการนี้ พวกเขาจะนำไปช่วยเหลือครอบครัวที่ยังไม่ทิ้งแผ่นดินซีเรีย เพื่อคริสตชนจะได้ไม่สูญหายไปจากประเทศนี้ ซึ่งก่อนสงครามมีอยู่ราว 10 เปอร์เซนต์ แต่ขณะนี้เหลืออยู่เพียง 3 เปอร์เซนต์ เท่านั้น