มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

เราถูกเรียกให้มาเป็นพยานถึงความชื่นชมยินดีแห่งความเชื่อในพระเยซูเจ้า (Pope Leo XIV to Cardinals: 'We are to bear witness to our joyful faith in Christ')

 

เราถูกเรียกให้มาเป็นพยานถึงความชื่นชมยินดีแห่งความเชื่อในพระเยซูเจ้า (Pope Leo XIV to Cardinals: 'We are to bear witness to our joyful faith in Christ')

     เช้าวันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 2025 วันรุ่งขึ้นหลังจากได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 267  พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงเป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณร่วมกับบรรดาพระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และพระคาร์ดินัลองค์อื่น ๆ ในวัดน้อยซิสติน ทรงเทศน์ว่า "เราต้องเป็นพยานถึงความเชื่อที่มีชีวิตชีวาที่เรามีต่อพระคริสตเจ้า" และ #หากปราศจากความเชื่อชีวิตก็จะไร้ความหมาย พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ผู้ที่เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงเริ่มต้นพิธีบูชาขอบพระคุณด้วยภาษาอังกฤษเล็กน้อย เพื่อขอบคุณบรรดาพระคาร์ดินัลสำหรับความไว้วางใจที่มีต่อพระองค์ว่า “พวกท่านได้ทรงเรียกข้าพเจ้าให้แบกไม้กางเขนนั้น และปฏิบัติพันธกิจนั้นให้สำเร็จ และข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าสามารถพึ่งพาท่านทุกคนได้ให้เดินไปกับข้าพเจ้า ขณะที่เราดำเนินต่อไปในฐานะพระศาสนจักร ในฐานะชุมชนแห่งมิตรสหายของพระเยซูเจ้า ในฐานะผู้ที่มีความเชื่อ เพื่อประกาศพระวรสาร”

 

พระเยซูเจ้าทำให้เราได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์แบบมนุษย์ (Christ showed us human holiness)

     พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงเทศน์เป็นภาษาอิตาลี โดยเน้นไปที่นักบุญเปโตร พระสันตะปาปาองค์แรก ที่กล่าวตอบพระเยซูเจ้าในพระวรสารของนักบุญมัทธิวว่า “ท่านคือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มธ 12:29) เพื่อแสดงให้เห็นถึงมรดกที่ได้มาด้วยความเชื่อที่มั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้า “ซึ่งพระศาสนจักรได้รักษา สืบสาน และส่งต่อมาเป็นเวลาสองพันปีจากบรรดาอัครสาวก” พระเยซูเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเราเท่านั้น ที่ทรงเปิดเผยพระพักตร์ของพระบิดา “พระองค์แสดงให้เราเห็นแบบอย่างความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ที่เราทุกคนสามารถเลียนแบบได้ พร้อมกับคำสัญญาถึงชีวิตนิรันดรที่เหนือขีดจำกัดและความสามารถทั้งหมดของเรา”

 

พระหรรษทานและแนวทาง (A gift and a path)

     นักบุญเปโตรเข้าใจว่าเป็นทั้ง “ #พระหรรษทานจากพระเจ้า ” และ “ #เป็นหนทางที่ต้องเดินตาม เพื่อให้นักบุญเปโตรเปลี่ยนแปลงไปด้วยของประทานเหล่านั้น” และทรงยืนยันว่า “พระหรรษทานเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของความรอดที่แยกจากกันไม่ได้ ซึ่งได้รับมอบหมายให้พระศาสนจักรประกาศเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ”  “แท้จริงแล้ว พวกเขาได้รับความไว้วางใจจากพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งเลือกเราไว้ก่อนที่เราจะถูกสร้างในครรภ์มารดาของเรา เกิดใหม่ในน้ำแห่งศีลล้างบาป ก้าวข้ามขีดจำกัดของเรา และไม่มีคุณธรรมใด ๆ ของเราเลย ถูกนำมาที่นี่และถูกส่งออกไปจากที่นี่ เพื่อที่พระวรสารจะได้รับการประกาศไปยังทุกสรรพสิ่ง”

 

เราถูกเรียกให้มีความเชื่อเพื่อพระศาสนจักร (Called me to be faithful for the Church)

     พระเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าให้สืบตำแหน่งต่อจากนักบุญเปโตร โดยได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 267 เมื่อวานนี้ช่วงบ่าย และด้วยเหตุนี้ “พระองค์จึงทรงมอบทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อว่าด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ ข้าพเจ้าจะได้เป็นผู้ดูแลทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ด้วยความเชื่อเพื่อประโยชน์ของพระกายทิพย์ทั้งหมดของพระศาสนจักร” เช่นเดียวกับที่นักบุญเปโตรได้ยืนยันความเชื่อ โดยการตอบคำถามที่พระเยซูเจ้าทรงถามท่านโดยตรงว่า ‘ท่านละ ว่าเราเป็นใคร’ (มธ 16:15) คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ และเกี่ยวข้องกับ “มุมมองที่สำคัญของการปฏิบัติศาสนกิจของเรา นั่นคือโลกที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งมีข้อจำกัดและศักยภาพ คำถาม และความเชื่อมั่น”

 

สองทัศนคติที่แตกต่างกัน (Two different attitudes)

     จากคำถามของพระเยซูเจ้าที่ว่า “คนทั้งหลายพูดว่าบุตรมนุษย์เป็นใคร” ในสถานการณ์ที่เรากำลังพิจารณาอยู่ เราอาจพบคำตอบที่เป็นไปได้ 2 ประการที่แตกต่างกัน”

1) #ประการแรก มีการตอบสนองจากโลกซึ่ง “จะไม่ลังเลที่จะปฏิเสธและกำจัดพระองค์” เมื่อ “การดำรงอยู่ของพระองค์กลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ” เนื่องมาจาก “ข้อกำหนดทางศีลธรรมอันเข้มงวดของพระองค์”

2) #ประการที่สอง คำตอบจากคนทั่วไปที่มองพระเยซูเจ้าว่า “เป็นคนเที่ยงธรรมที่กล้าหาญ” แต่สำหรับพวกเขา “พระองค์ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้น ในยามอันตราย ทุกข์ยากลำบาก พวกเขาจึงละทิ้งพระองค์และจากไปด้วยความผิดหวัง”

 

ธรรมทูตต้องการไปในที่ยากลำบากเพื่อเป็นพยาน (Missionary outreach needed where difficult to preach witness)

     ทัศนคติทั้ง 2 ประการนี้ยังคงมีความเกี่ยวข้องในปัจจุบัน เป็นแนวคิดที่เราพบเห็นได้ง่ายจากคำพูดของหลายคนในยุคสมัยของเรา แม้ว่าทัศนคติทั้งสองประการนี้จะเหมือนกันทุกประการ แต่กลับแสดงออกด้วยภาษาที่แตกต่างกัน "แม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังมีหลายสถานการณ์ที่ศาสนาคริสต์ถูกมองว่าไร้สาระ มีไว้สำหรับผู้ที่อ่อนแอและไม่มีสติปัญญา พวกเขาได้ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยี เงิน ความสำเร็จ อำนาจ หรือความสุข"ในบริบทนี้ “ไม่ง่ายเลยที่จะประกาศพระวรสารและเป็นพยานถึงความจริง เป็นที่ที่ผู้มีความเชื่อถูกเยาะเย้ย ต่อต้าน ดูถูก หรืออย่างดีที่สุดก็ถูกยอมรับและสงสาร” อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลนี้โดยเฉพาะ สถานที่เหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเผยแพร่ศาสนาของเรา”

 

การปราศจากความเชื่อเพราะขาดความหมายของชีวิต (Lack of faith accompanied by lack of meaning in life)

     “การขาดความเชื่อ มักจะมาพร้อมกับการสูญเสียความหมายในชีวิต การละเลยความเมตตา การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างน่าสยดสยอง วิกฤตของครอบครัว และบาดแผลอื่น ๆ มากมายที่รุมเร้าสังคมของเรา” ทุกวันนี้ “มีหลายสถานการณ์ที่แม้ว่าพระเยซูเจ้าจะได้รับการชื่นชมในฐานะมนุษย์ แต่พระองค์กลับถูกทำให้ลดสถานะลงเป็นเพียงผู้นำที่มีเสน่ห์หรือซูเปอร์แมน” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น “ไม่เพียงแต่ในหมู่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคริสตชนที่รับศีลล้างบาปมาแล้วด้วย พวกเขาจึงลงเอยด้วยการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง”
“นี่คือโลกที่พระเจ้าทรงมอบไว้ให้เรา เป็นโลกที่พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงสอนเราหลายครั้งว่า เราถูกเรียกให้เป็นพยานถึงความเชื่ออันเปี่ยมล้นของเราในพระคริสตเจ้าพระผู้ช่วยให้รอด” ดังนั้น “จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องกล่าวซ้ำพร้อมกับนักบุญเปโตรว่า ‘ท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต’”

 

การเดินทางของการกลับใจในและวัน (Daily journey of conversion)

     สิ่งแรกที่เราควรจะทำ คือ การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระเจ้า ในความมุ่งมั่นของเราต่อ “การเดินทางแห่งการกลับใจใหม่ทุกวัน”
จากนั้น ในฐานะพระศาสนจักร เราก็ต้องทำเช่นเดียวกัน “โดยร่วมกันสัมผัสถึงความซื่อสัตย์ของเราต่อพระเจ้าและนำพระวรสารไปสู่ทุกคน”

 

 

 

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown