• เอกสารลำดับที่ 6 ของพระสันตะปาปาฟรังซิส เป็นจดหมายถึงบรรดาเยาวชนที่มีชื่อว่า “พระคริสตเจ้าทรงพระชนม์” ซึ่งในเนื้อหาเป็นไปในทางบวก เรียกร้องการเปิดเส้นขอบฟ้าใหม่ให้กับชนทุกวัย

แท้จริงพระองค์ตรัสว่า “การเป็นคนหนุ่มสาวลึกซึ้งกว่าเพียงแค่อายุ แต่เป็นสภาพทางจิตใจ”


• “พระคริสตเจ้าทรงพระชนม์ พูดอะไร?

พระสันตะปาปาทรงลงพระนามในพระสมณลิขิตนี้ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่เมืองโลเรโต

เนื้อหาทั้ง 9 บท สอนว่าเราจะสามารถค้นพบกระแสเรียกของเราได้อย่างไร
ไม่ว่าจะทั้งในการแต่งงาน หรือถวายชีวิตของเราในรูปแบบพิเศษรับใช้พระเจ้า

ประกอบไปด้วยเนื้อหาสาระของการประชุมสมัชชาหัวข้อเรื่องเยาวชน เมื่อเดือนตุลาคม 2018 นำเอาเอกสารเตรียมประชุมมาพูดอธิบาย และยังได้ให้แนวทางว่าจะเพ่งมองไปยังเยาวชนในพระศาสนจักรด้วยท่าทีอย่างไร

• คำแนะนำต่อคนหนุ่มสาว

“หนึ่งในคำแนะนำสั้นๆ ให้กับคนหนุ่มสาวนั่นคือ ควรเรียนรู้ที่จะร้องไห้

พระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสว่า “พอลูกร้องไห้เป็น ลูกก็จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นจากหัวใจได้”

พระองค์ยังทรงหวนคิดถึง การสนทนากับเด็กน้อยเร่ร่อนสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากท้องถนน ในประเทศฟิลิปปินส์

++ พระสันตะปาปาฟรังซิส ++
(19 มกราคม 2015)
“พ่อขอให้ลูกแต่ละคนถามคำถามว่า : ฉันร้องไห้ไหม? เมื่อฉันพบเห็นเด็กที่อดอยากหิวโหย ติดยาเสพติด เร่รอนตามถนน ไร้บ้าน ถูกทอดทิ้ง มีแต่คนทำไม่ดีกับเขา หรือแสวงหาประโยชน์จากเขาโดยเอามาเป็นทาสรับใช้โดยคนในสังคม หรือการร้องไห้ของฉันเป็นเสียงครวญครางการเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งร้องไห้ออกมาก็เพราะยังอยากได้อะไรมากขึ้นไปอีก”

“พระคริสตเจ้าทรงพระชนม์” ยังพูดเกี่ยวกับผู้อพยพลี้ภัย เรียกร้องให้เยาวชนอย่าได้หลงในกับดักที่มองผู้อพยพเป็น “สิ่งที่เข้ามาคุกคามชีวิตและไม่มีความรู้สึกถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนพึงมีในตัวพวกเขา”

• พระองค์ยังทรงขอให้เยาวชนต่อต้านการล่วงละเมิด

พระสันตะปาปาทรงเขียนว่า “หากลูกเห็นพระสงฆ์อยู่ในอันตรายหมิ่นเหม่เพราะท่านกำลังหลงทางในงานพันธกิจของท่าน หรือได้รับค่าตอบแทนอย่างมากมาย หรือกำลังเดินบนหนทางผิด จงเตือนท่านถึงคำสัญญาอุทิศตนที่ท่านต้องมีต่อพระเจ้าและสัตบุรุษ เตือนท่านถึงพระวรสาร ขอร้องท่านให้ยึดมั่นในทางของท่าน”

• ข่าวสารจากวันเยาวชนโลก

พระสันตะปาปายังทรงกล่าวซ้ำถึงข่าวสารจากวันเยาวชนโลก ที่เมืองริโอ เดอ จาไนโร คาร์คูฟ และประเทศปานามา

พระองค์ตรัสว่าเยาวชนได้รับเรียกไม่ใช่เพื่อมาติดตามความฉาบฉวย แต่พวกเขาต้องดำเนินชีวิตแสดงความเชื่อเที่ยงแท้ออกมา โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานการเป็นบุคคลที่มีมิตรภาพกับพระเจ้า และฟื้นฟูด้วยศีลมหาสนิทและศีลอภัยบาป

++ พระสันตะปาปาฟรังซิส ++
(28 กรกฎาคม 2013)
“พ่อขอลูกให้เป็นผู้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลง ว่ายทวนน้ำ

ใช่แล้ว พ่อขอให้ลูกกบฏต่อวัฒนธรรมเหล่านี้ ที่มองดูทุกอย่างเพียงเรื่องชั่วคราว และทำให้ลูกเชื่อในที่สุดว่าลูกไร้ความสามารถที่จะมามีความรับผิดชอบ ไร้ความสามารถที่จะมีความรักแท้

พ่อมีความเชื่อมั่นในตัวลูกและภาวนาให้ลูกเพื่อจะมีกำลังใจ ‘ว่ายทวนน้ำขึ้นไป‘“

++ พระสันตะปาปาฟรังซิส ++
(2 สิงหาคม 2016)
“เราไม่ได้มาในโลกนี้เพื่อ “แพร่พันธุ์” เพื่อเอาแต่สะดวกสบาย เพื่อทำชีวิตให้นุ่มสบายบนโซฟาและก็ม่อยหลับไป

เปล่า เรามาในโลกนี้ด้วยอีกเหตุผลหนึ่ง : เพื่อทิ้งร่องรอยไว้ นับเป็นเรื่องเศร้าที่เราจากโลกนี้ไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยหมุดหมายใดไว้เลย”

++ พระสันตะปาปาฟรังซิส ++
(29 มกราคม 2019)
“การผูกมัดอุทิศตนทำให้เราเติบโต สิ่งนี้ทำให้เราไม่ใช่เล็กน้อย พวกลูกได้ให้สิ่งดีที่สุดเท่าที่ลูกมีเพื่อทำอัศจรรย์ทวีคูณมิใช่แค่ขนมปังแต่ทวีคูณความหวัง ในการให้สิ่งที่ดีที่สุดจากตัวลูกด้วยการอุทิศตัวตนเอง ลูกก็ได้กระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ทวีความหวัง เราต้องการทวีความหวัง ขอบใจสำหรับสิ่งเหล่านี้”

• จะช่วยเหลือคนหนุ่มสาวได้อย่างไร

พระสันตะปาปาทรงเรียกร้องพระศาสนจักรให้ตั้งคำถาม ว่าทำไมคนหนุ่มสาว “พลาดบ่อยๆ ในการค้นพบคำตอบในหลักสูตรที่เราใช้ๆ กันอยู่ อันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่อเนื่อง ความต้องการของพวกเขา ปัญหาของพวกเขาและประเด็นต่างๆ”
เพราะพวกเขารับรู้เรื่องราวแค่ “เนื้อหาทางข้อความเชื่อหรือพระสัจธรรม” ซึ่งมองข้ามการได้พบปะกับพระเป็นเจ้าเป็นการส่วนตัว

พระสันตะปาปาทรงเรียกร้องว่า จงเป็น “พระศาสนจักรที่เปิดประตู” ในแบบที่ใครคนหนึ่งที่ไม่สามารถ “จะรับคำสอนของพระศาสนจักรครบถ้วนสมบูรณ์ได้ แต่ก็ยังสามารถเข้ามีส่วนในกิจกรรมต่างๆ ของเยาวชน มีการเปิดใจกว้างพอให้กับผู้ที่ปรารถนาและยินดีจะพบปะกับพระเจ้าทางความจริงที่ไขแสดงจากพระองค์”

• ศาสนาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย

พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงขอให้วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย “ยังคงรักษาสถานที่ให้เป็นแก่นแท้ของการประกาศข่าวดีแก่เยาวชน”

พระองค์ทรงขอให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองถึงการได้ออกทำงานอภิบาลชุมชน คนหนุ่มสาวมากมายได้เรียนคำสอนศาสนา แต่เมื่อจบแล้วพวกเขาไม่มีอุปกรณ์มาประยุกต์ให้ปฏิบัติในชีวิต

พระองค์ตรัสว่าในหลายๆ โรงเรียน “ไม่ได้เตรียมส่งเสริมเยาวชนให้ตระหนักคุณค่าเหล่านี้ในโลกเท่ากับที่โลกหล่อหลอมเขาเย้ยหยันคุณค่าการอภิบาล หรือไม่สอนให้เขาได้เรียนรู้จักหนทางการสวดภาวนาและปฏิบัติความเชื่อ ซึ่งจะค้ำจุนให้เขารับมืออย่างง่ายดายต่อชีวิตเร่งรีบของสังคมทุกวันนี้”