มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

1. การประกาศระบบใหม่ (บทที่1-4)

ก: อารัมภบท

บทที่ 1

1 1เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้วaพระวจนาตถ์ประทับอยู่กับพระเจ้าและพระวจนาตถ์ทรงเป็นพระเจ้า

2พระองค์ประทับอยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม

3พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ไม่มีแม้เพียงสิ่งเดียวที่พระเจ้าทรงสร้าง ถูกสร้างโดยไม่อาศัยพระวจนาตถ์b

4ชีวิตอยู่ในพระองค์cและชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์

5แสงสว่างส่องในความมืดและความมืดไม่สามารถกลืนแสงสว่างนั้นd

6พระเจ้าทรงส่งชายผู้หนึ่งมาเขาชื่อ ยอห์นe

7เขามาเป็นพยานเพื่อเป็นพยานถึงแสงสว่างให้ทุกคนได้เชื่อเพราะฟังเขา

8เขาไม่ใช่แสงสว่างแต่เป็นพยานถึงแสงสว่าง

9แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกำลังจะมาสู่โลกf

10พระวจนาตถ์ประทับอยู่ในโลกและโลกถูกสร้างโดยอาศัยพระองค์แต่โลกไม่รู้จักพระองค์g

11พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์แต่ประชากรของพระองค์hไม่ยอมรับพระองค์

12ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์ คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์i พระองค์ได้ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้าj

13เขาเหล่านี้มิได้เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้าk

14พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์l และมาประทับอยู่ท่ามกลางเราm เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์n เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงมีจากพระบิดา ในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริงo

15ยอห์นเป็นพยานถึงพระองค์ และประกาศว่า ‘นี่คือผู้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงว่า ผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้า ได้นำหน้าข้าพเจ้าไป เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’

16จากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกันp

17เพราะพระเจ้าได้ประทานธรรมบัญญัติผ่านทางโมเสสแต่พระหรรษทานและความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า

18ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลยพระบุตรเพียงพระองค์เดียวqผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้นได้ทรงเปิดเผยให้เราทราบ

 

ข: พระภารกิจของพระเยซูเจ้า

1. การประกาศระบบใหม่

ก: สัปดาห์แรก

ยอห์นเป็นพยาน

19ยอห์นเป็นพยานดังนี้ เมื่อชาวยิวrจากกรุงเยรูซาเล็มส่งบรรดาสมณะและชาวเลวีไปถามยอห์นว่า “ท่านเป็นใครเล่า?”

20เขายืนยัน มิได้ปฏิเสธ ยืนยันว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์”

21ดังนั้น เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ?”s ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่เป็นเอลียาห์” “ท่านเป็นกระกาศกผู้นั้นหรือ?”t เขาตอบอีกว่า “ไม่ใช่”

22เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร? เราจะได้นำคำตอบไปให้ผู้ที่ส่งเรามา ท่านกล่าวถึงตนเองอย่างไรเล่า?”

23ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดารว่าจงทำทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงเถิด”ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้

24ผู้ที่ถูกส่งไปถามนั้นเป็นชาวฟาริสี

25เขาถามยอห์นอีกว่า “ทำไมท่านจึงทำพิธีล้าง ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ และไม่ใช่ประกาศกผู้นั้น?”

26ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่มีผู้หนึ่งประทับอยู่ท่ามกลางท่าน –เป็นผู้ที่ท่านไม่รู้จัก-

27ผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”

28เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี ทางอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนu ที่ซึ่งยอห์นกำลังทำพิธีล้างอยู่

29วันรุ่งขึ้น ยอห์นเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาตน จึงกล่าวว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้าv ผู้ทรงยกบาปของโลก

30ผู้นี้แหละคือผู้ที่ข้าพเจ้าเคยพูดถึงว่า “บุรุษผู้หนึ่งมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งนำหน้าข้าพเจ้าไป เพราะอยู่ก่อนข้าพเจ้า”

31ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้าถูกส่งมาให้ทำพิธีล้าง เพื่อทำให้พระองค์เป็นที่รู้จักแก่อิสราเอล”

32และยอห์นได้ยืนยันอีกว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบw และประทับยืนอยู่เหนือพระองค์

33ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ผู้ที่ทรงส่งข้าพเจ้ามาใช้น้ำทำพิธีล้าง ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือผู้ใด นั่นแหละคือผู้ที่ทำพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า”x

34ข้าพเจ้าเห็น และเป็นพยานยืนยันว่า ท่านผู้นี้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า”y

 

ศิษย์กลุ่มแรก

35วันรุ่งขึ้น ยอห์นกำลังยืนอยู่ที่นั่นกับศิษย์สองคน

36และเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไป จึงกล่าวว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า”

37เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินยอห์นกล่าวดังนี้จึงติดตามพระเยซูเจ้าไป

38พระเยซูเจ้าทรงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำลังติดตามพระองค์ จึงตรัสถามว่า “ท่านแสวงหาอะไร?” เขาทูลตอบว่า “รับบี” –ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์- “พระองค์พำนักอยู่ที่ไหน?” 39พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูเถิด” เขาจึงไป เห็นที่ประทับของพระองค์ และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสี่โมงz

40อันดรูว์น้องชายของซีโมนเป็นคนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินคำพูดของยอห์น และตามพระเยซูเจ้าไป

41อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรกaa จึงกล่าวว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” (พระเมสสิยาห์ หรือพระคริสตเจ้า แปลว่า ผู้รับเจิม)

42เขาพาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมน บุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า เคฟาส” –ซึ่งแปลว่า “เปโตร” หรือ “ศิลา”

43วันรุ่งขึ้น พระเยซูเจ้าทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงพบฟิลิปและตรัสแก่เขาว่า “จงตามเรามาเถิด”

44ฟิลิปมาจากเมืองเบธไซดาเช่นเดียวกับอันดรูว์และเปโตร 45ฟิลิปพบนาธานาเอลbb และบอกเขาว่า “เราได้พบผู้ที่โมเสสและบรรดาประกาศกได้เขียนกล่าวถึงไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ผู้นั้นคือพระเยซู บุตรของโยเซฟ ชาวนาซาเร็ธ”

46นาธานาเอลจึงกล่าวแก่ฟิลิปว่า ‘จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ?’ ฟิลิปตอบว่า ‘มาดูเถิด’

47rพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่าcc ‘นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา’

48นาธานาเอลทูลถามว่า ‘พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร?’ พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า ‘ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกท่าน เราได้เห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ’dd

49นาธานาเอลทูลตอบว่า ‘รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าee พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล’

50พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘ท่านเชื่อเพราะเราได้กล่าวว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อหรือ? ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก’

51แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิดออก และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงอยู่เหนือบุตรแห่งมนุษย์ff

 

งานสมรสที่หมู่บ้านคานา

บทที่ 2
2 1สามวันต่อมาa มีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาของพระเยซูเจ้าก็อยู่ในงานนั้นb

2พระเยซูเจ้าทรงได้รับเชิญพร้อมกับบรรดาศิษย์มาในงานนั้นด้วย

3เมื่อเหล้าองุ่นหมด พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า ‘เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว’

4พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘คุณแม่ครับc คุณแม่ต้องการอะไรจากลูก?d เวลาของลูกeยังมาไม่ถึง’

5พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงกล่าวแก่บรรดาผู้รับใช้ว่า ‘เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด’

6ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ชำระตามธรรมเนียมของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณหนึ่งร้อยลิตร

7พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาผู้รับใช้ว่า ‘จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม’ เขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงขอบ

8แล้วพระองค์ทรงสั่งเขาอีกว่า ‘จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด’ เขาก็ตักไปให้

9ผู้จัดงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่เปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ไม่ทราบว่าเหล้านี้มาจากไหน –แต่ผู้รับใช้ที่ตักน้ำทราบดี- ผู้จัดงานเลี้ยงจึงเรียกเจ้าบ่าวมา

10กล่าวว่า ‘ใครๆเขาเอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาตั้งก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงเอาเหล้าองุ่นอย่างรองมาตั้ง แต่ท่านเก็บเหล้าอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้’

11พระเยซูเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์นี้เป็นเครื่องหมายfแรกที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์

12หลังจากนี้ พระเยซูเจ้าเสด็จไปเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับพระมารดา ญาติพี่น้องและบรรดาศิษย์ ทุกคนพำนักอยู่ที่นั่นเพียงสองสามวัน

 

ข: เทศกาลปัสกา

การชำระพระวิหาร

13เทศกาลปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

14ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบพ่อค้าขายวัว พ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ และคนแลกเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ

15พระองค์ทรงใช้เชือกเป็นแส้ ทรงขับไล่ทุกคนรวมทั้งแกะและวัวออกจากพระวิหาร ทรงปัดเงินกระจายเกลื่อนกลาด และทรงคว่ำโต๊ะของผู้แลกเงิน

16แล้วตรัสแก่คนขายนกพิราบว่า ‘จงนำของเหล่านี้ออกไป อย่าทำบ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด’

17บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ถึงคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ได้ว่า “ความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์เป็นเสมือนไฟที่เผาผลาญข้าพเจ้า

18ชาวยิวจึงเข้ามาทูลพระองค์ว่า ‘ท่านมีเครื่องหมายอะไรแสดงให้เรารู้ว่า ท่านมีอำนาจทำดังนี้?’

19พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘จงทำลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน’g

20ชาวยิวกล่าวว่า ‘วิหารหลังนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปีh แล้วท่านจะสร้างขึ้นใหม่ในสามวันหรือ?’

21แต่พระองค์กำลังตรัสถึงพระวิหารซึ่งหมายถึงพระวรกายของพระองค์i

22ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสไว้ดังนี้ เขาจึงเชื่อทั้งพระคัมภีร์และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้

พระเยซูเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม
23ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา คนจำนวนมากเชื่อในพระนามของพระองค์เพราะได้เห็นเครื่องหมายต่างๆที่ทรงกระทำ

24แต่พระเยซูเจ้าไม่วางพระทัยในคนเหล่านั้นเพราะทรงรู้จักทุกคน

25พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดเป็นพยานในเรื่องมนุษย์เพราะทรงทราบดีว่ามีอะไรอยู่ในใจมนุษย์

 

พระเยซูเจ้าทรงสนทนากับนิโคเดมัส

บทที่ 3
3 1ชายคนหนึ่งจากกลุ่มชาวฟาริสีชื่อ นิโคเดมัส เป็นหัวหน้าคนหนึ่งของชาวยิว

2เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้าตอนกลางคืน ทูลว่า ‘รับบี พวกเราทราบว่า ท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำอัศจรรย์อย่างที่ท่านทำได้ นอกจากพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเขา’

3พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้าaได้ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่b”

4นิโคเดมัสทูลถามว่า ‘คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไรกัน? เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ?’

5พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า“เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าได้ถ้าเขาไม่เกิดจากน้ำและพระจิตเจ้าc

6สิ่งใดที่เกิดจากเนื้อหนังย่อมเป็นเนื้อหนังสิ่งใดที่เกิดจากพระจิตเจ้า ย่อมเป็นจิต

7อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่าท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน

8ลมdย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่ทราบว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหนทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้”

9นิโคเดมัสทูลถามพระองค์ว่า ‘เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?’

10พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่ทราบเรื่องเหล่านี้หรือ?

11‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้eและเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็นแต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมรับคำยืนยันของเราf

12ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเมื่อเราพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับโลกนี้ท่านจะเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์?g

13ไม่มีใครเคยขึ้นไปสวรรค์hนอกจากผู้ที่ได้ลงมาจากสวรรค์คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น

14โมเสสได้ยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรแห่งมนุษย์iก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น

15เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์jจะมีชีวิตนิรันดร 

16พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงได้ประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร

17เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลกแต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น

18ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้าk

19ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือ ความสว่างได้เข้าในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย

20ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่าง และไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง

21แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริงl ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อการกระทำของเขานั้นจะปรากฏว่าได้กระทำเดชะพระเจ้า’

 

พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนในแคว้นยูเดีย
ยอห์นเป็นพยานครั้งสุดท้าย

22หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์เข้าไปในแคว้นยูเดีย พระองค์ประทับอยู่กับเขาที่นั่นและทรงทำพิธีล้างm

23ส่วนยอห์นก็ทำพิธีล้างอยู่ที่ไอโนนn ใกล้ตำบลซาลิม(ด้วย) เพราะที่นั่นมีน้ำบริบูรณ์ ประชาชนพากันมารับพิธีล้าง

24เวลานั้น ยอห์นยังไม่ได้ถูกจำคุก

25ชาวยิวคนหนึ่งได้เริ่มโต้เถียงกับศิษย์บางคนของยอห์นเรื่องการชำระล้างo

26คนเหล่านั้นจึงไปหายอห์น กล่าวว่า ‘รับบี ขณะนี้ผู้ที่เคยอยู่กับท่านที่แม่น้ำจอร์แดนฟากโน้น และท่านได้เป็นพยานถึงเขากำลังทำพิธีล้างอยู่ และทุกคนก็ไปหาเขา’

27ยอห์นตอบว่า“มนุษย์ไม่สามารถมีสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ได้รับจากสวรรค์”

28‘ท่านทั้งหลายก็เป็นพยานได้ที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้แล้ว “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสตเจ้า แต่ข้าพเจ้าถูกส่งมาก่อนพระองค์”

29ผู้ที่มีเจ้าสาวคือเจ้าบ่าวpแต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังอยู่ย่อมชื่นชมยินดีเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าวข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีเช่นนี้ และความชื่นชมยินดีของข้าพเจ้าก็สมบูรณ์

30พระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้อยลง

31ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคนq ผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ ย่อมเป็นของแผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ ผู้ที่มาจากสวรรค์ย่อมอยู่เหนือทุกคนr

32เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีใครยอมรับคำยืนยันของเขา

33ผู้ที่รับคำพยานยืนยันของเขา ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง

34ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมานั้นย่อมกล่าวพระวาจาของพระเจ้าเพราะพระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่างไม่จำกัดs

35พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตรt

36ผู้ใดมีความเชื่อในพระบุตรย่อมมีชีวิตนิรันดรผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตร จะไม่พบชีวิตนั้นแต่การลงโทษของพระเจ้ากำลังอยู่เหนือเขาแล้ว’

 

พระเยซูเจ้ากับชาวสะมาเรียa

บทที่ 4
4 1เมื่อพระเยซูเจ้าbทรงทราบว่า บรรดาชาวฟาริสีได้ยินว่า พระองค์ทรงมีศิษย์ และทำพิธีล้างมากกว่ายอห์น –

2โดยแท้จริงแล้ว ไม่ใช่พระองค์ แต่บรรดาศิษย์ทำพิธีล้าง-

3พระองค์ก็เสด็จออกจากแคว้นยูเดีย กลับไปยังแคว้นกาลิลี 4จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย

5พระองค์เสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์c ใกล้ที่ดินที่ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชาย

6ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับที่ขอบบ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวันd

7หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำพระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่นางว่า ‘ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด’

8บรรดาศิษย์ของพระองค์ได้ไปซื้ออาหารในเมือง

9หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นชาวยิว ทำไมจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรียเล่า?’ –เพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลยe

10พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า“หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้าและรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า‘ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด’ท่านคงกลับเป็นผู้ขอและผู้นั้นจะให้น้ำที่ให้ชีวิต” แก่ท่าน

11นางจึงทูลว่า ‘นายเจ้าขา ท่านไม่มีถังตักน้ำ และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอา “น้ำที่ให้ชีวิต”มาจากไหนกัน?

12ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ? ท่านบรรพบุรุษเองได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เรา ท่านบรรพบุรุษรวมทั้งลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้”

13พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก

14แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้นจะไม่กระหายอีกน้ำที่เราจะให้แก่เขาจะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร”

15หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า ‘นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก’

16พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า ‘จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาที่นี่’

17หญิงผู้นั้นทูลตอบว่า ‘ดิฉันไม่มีสามี’ พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า ‘เธอพูดถูกแล้วที่ว่า “ดิฉันไม่มีสามี”

18เพราะเธอได้มีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนที่อยู่กับเธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูดถูกต้องทีเดียว’

19หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า ‘ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก 20บรรพบุรุษของเราเคยทำพิธีนมัสการบนภูเขานี้f แต่ท่านก็ว่า สถานที่สำหรับพิธีนมัสการคือกรุงเยรูซาเล็ม’g

21พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า“นางเอ๋ย เชื่อเราเถิดถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะไม่นมัสการพระบิดาเจ้าทั้งบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม

22ท่านนมัสการสิ่งที่ท่านไม่รู้จักแต่เรานมัสการสิ่งที่เรารู้จักเพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว

23แต่จะถึงเวลา –คือเวลานี้-เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริงh เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้

24พระเจ้าทรงเป็นจิต ผู้ที่นมัสการพระองค์iจะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง

25หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า ‘ดิฉันทราบว่า พระเมสสิยาห์-คือพระคริสต์-กำลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เราทราบ’

26พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เราที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์’

27ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่ใครทูลถามว่า ‘พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนาง?’ หรือว่า ‘พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนาง?’

28หญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไปjในเมือง และบอกประชาชนว่า

29‘มาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมัง?’

30ประชาชนจึงออกจากเมือง มาเฝ้าพระองค์

31ระหว่างนั้น บรรดาศิษย์ทูลขอร้องพระองค์ว่า ‘รับบี เชิญรับประทานอาหารเถิด’

32แต่พระองค์ตรัสตอบว่า ‘เรามีอาหารอื่นที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก’

33บรรดาศิษย์จึงถามกันว่า ‘มีใครนำสิ่งใดมาให้พระองค์รับประทานหรือ?’

34พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า“อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของพระผู้ทรงส่งเรามาkและการประกอบภารกิจของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงไป

35ท่านพูดกันมิใช่หรืออีกสี่เดือนก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยว?ถูกแล้ว เราบอกท่านทั้งหลายว่าจงเงยหน้าขึ้น มองดูทุ่งนาเถิดทุ่งนาเหลืองอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว!l

36คนเก็บเกี่ยวกำลังจะรับค่าจ้างเรารวบรวมผลไว้เพื่อชีวิตนิรันดรเพื่อทั้งคนหว่าน และคนเก็บเกี่ยวจะมีความยินดีร่วมกัน

37ในกรณีนี้คำพังเพยก็เป็นจริงที่ว่าคนหนึ่งหว่าน อีกคนหนึ่งเก็บเกี่ยว

38เราได้ส่งท่านทั้งหลายไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ไดลงแรงทำงานไว้คนอื่นได้ลงแรงไว้แล้วท่านเข้ามาเก็บผลจากแรงงานของพวกเขาm

39ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นมีความเชื่อในพระองค์ เพราะคำของหญิงคนนั้นที่เป็นคำยืนยันว่า ‘เขาได้บอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ’

40เมื่อชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ได้อ้อนวอนให้ประทับอยู่กับเขา พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน

41คนจำนวนมากกว่านั้นมีความเชื่อเพราะพระวาจาของพระองค์

42เขาได้กล่าวแก่หญิงผู้นั้นว่า ‘เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยินและรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง’n

 

พระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลี

43หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี

44พระองค์เคยทรงประกาศไว้ว่า ประกาศกมักไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน

45แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีได้ต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะได้เห็นการกระทำต่างๆของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาได้ไปร่วมด้วย

เครื่องหมายครั้งที่สองที่หมู่บ้านคานา
พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรชายของข้าราชการ

46พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคยทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่นั่น ข้าราชการคนหนึ่งมีบุตรป่วยหนักอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม

47เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าได้เสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต

48พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า ‘ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายและการอัศจรรย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย!’

49ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า ‘พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจเถิด’

50พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า ‘ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว’ ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขา จึงเดินทางจากไป

51ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ ผู้รับใช้ของเขาได้ออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว

52เขาซักถามถึงเวลาที่บุตรของเขามีอาการดีขึ้น ผู้รับใช้ตอบว่า ‘เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย’

53บิดาจึงทราบว่า นั่นเป็นเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว’ เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ

54พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายครั้งที่สองนี้ หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown