มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

4. การฉลองเทศกาลอยู่เพิง (บทที่7-10)

พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลอง

บทที่ 7

7 1หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์aจะเสด็จไปทั่วแคว้นยูเดียเพราะชาวยิวกำลังพยายามจะฆ่าพระองค์

2งานฉลองเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว 3บรรดาพี่น้องของพระองค์bกล่าวกับพระองค์ว่า ‘จงออกจากที่นี่ เดินทางไปในแคว้นยูเดียเถิด เพื่อบรรดาศิษย์ของท่านcจะเห็นกิจการที่ท่านกระทำด้วย

4ไม่มีใครทำอะไรอย่างลับๆ ถ้าต้องการให้ทุกคนรู้จัก ถ้าท่านกำลังทำกิจการเหล่านี้อยู่ ก็จงสำแดงตนให้โลกเห็นเถิด’

5แม้แต่พี่น้องของพระองค์ก็ไม่เชื่อในพระองค์ 6พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า ‘เวลาของเรายังมาไม่ถึงd แต่เวลาของท่านทั้งหลายนั้นพร้อมอยู่เสมอ

7โลกไม่สามารถเกลียดชังท่าน แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานยืนยันว่า กิจการของโลกนั้นชั่วร้าย

8ท่านทั้งหลายจงขึ้นไปร่วมงานฉลองกันเถิด เราจะไม่ขึ้นไปeร่วมงานฉลองนี้ เพราะเวลาของเรายังไม่ครบกำหนด’

9เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ยังประทับอยู่ในแคว้นกาลิลีต่อไป

10อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาพี่น้องของพระองค์ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นไปด้วย อย่างลับๆไม่ทรงพระประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น

11ในระหว่างงานฉลอง ชาวยิวพยายามแสวงหาพระองค์พูดกันว่า ‘คนนั้นอยู่ที่ไหน?’

12ประชาชนซุบซิบกันมากfถึงพระองค์ บางคนว่า ‘เขาเป็นคนดี’ บางคนว่า ‘ไม่ใช่ เขาหลอกลวงประชาชนต่างหาก’

13แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะกลัวชาวยิว

14เมื่อเทศกาลฉลองผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว พระเยซูเจ้าได้เสด็จขึ้นไปยังพระวิหาร และเริ่มเทศน์สอนg

15ชาวยิวต่างประหลาดใจ กล่าวว่า ‘ผู้นี้รู้พระคัมภีร์ได้อย่างไร? เพราะไม่เคยศึกษาในสำนักใดเลย’ 16พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า ‘คำสอนของเราไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา

17ผู้ใดต้องการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นจะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้า หรือว่าข้าพเจ้ากล่าวตามใจตนเอง

18ผู้ที่กล่าวตามอำเภอใจตนเอง ย่อมแสวงหาเกียรติของตน แต่ผู้ที่แสวงหาพระสิริรุ่งโรจน์ของผู้ทรงส่งเขามา ย่อมพูดความจริง และไม่มีความทุจริตแต่อย่างใด

19โมเสสได้ให้ธรรมบัญญัติแก่ท่านทั้งหลายมิใช่หรือ? ถึงกระนั้น ไม่มีท่านคนใดปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้น!
‘ทำไมท่านจึงพยายามจะฆ่าเรา?’

20ประชาชนตอบว่า ‘ท่านบ้าไปแล้ว! ใครพยายามจะฆ่าท่าน?’

21พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘เราได้กระทำเพียงกิจการเดียว และท่านทุกคนก็แปลกใจ

22โมเสสได้กำหนดให้ท่านเข้าสุหนัต –โดยแท้จริงแล้ว พิธีสุหนัตไม่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ- และท่านก็ทำพิธีสุหนัตในวันสับบาโตด้วย

23ถ้ามนุษย์รับพิธีสุหนัตในวันสับบาโตได้ โดยไม่ละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสส ทำไมท่านจึงโกรธ ที่เราได้รักษาคนทั้งตัวให้หายจากโรคในวันสับบาโตเล่า?h

24อย่าตัดสินตามที่เห็น แต่จงตัดสินตามความยุติธรรมเถิด’

 

ประชาชนถกเถียงกันเรื่องต้นกำเนิดของพระเมสสิยาห์

25ชาวเยรูซาเล็มบางคน กล่าวว่า ‘คนนี้มิใช่หรือที่เขาพยายามจะฆ่า?

26ดูซิ คนนี้กำลังพูดอย่างเปิดเผย และไม่มีใครพูดอะไรกับเขา! หรือว่าบางทีบรรดาหัวหน้าคงiยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์?

27แต่พวกเราทราบว่าคนนี้มาจากไหน ส่วนพระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครทราบว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน?’j

28ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ทรงประกาศเสียงดังว่า ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และทราบว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะk ท่านไม่รู้จักพระองค์

29แต่เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์l และพระองค์ทรงส่งเรามา

30คนเหล่านั้นพยายามจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครกล้าจับ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง

 

พระเยซูเจ้าทรงทำนายว่าจะทรงจากไป

31ประชาชนจำนวนมากเชื่อในพระองค์ กล่าวว่า ‘เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงทำเครื่องหมายอัศจรรย์มากกว่าที่ผู้นี้ได้ทำหรือ?’

32ชาวฟาริสีได้ยินประชาชนวิจารณ์เรื่องเหล่านี้เกี่ยวกับพระองค์ จึงร่วมมือกับบรรดามหาสมณะmส่งยามรักษาพระวิหารไปจับกุมพระองค์

33พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า
เรายังอยู่กับท่านอีกไม่นาน
แล้วเราจะกลับไปหาพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา

34ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบn เราอยู่ที่ไหน ท่านไม่สามารถไปได้

35ชาวยิวจึงกล่าวกันว่า ‘คนนี้กำลังจะไปไหนเราจึงไม่สามารถพบเขาได้? เขาตั้งใจจะไปหาชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ระหว่างชาวกรีก และตั้งใจไปสอนชาวกรีกหรือ?

36เขาหมายถึงอะไรเมื่อกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบ เราอยู่ที่ไหน ท่านไม่สามารถไปได้?”

 

พระเยซูเจ้าทรงสัญญาจะประทานน้ำที่ให้ชีวิต

37ในวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิงซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดo พระเยซูเจ้าทรงยืนและทรงประกาศเสียงดังว่า ‘ผู้ใดกระหาย จงมาหาเราเถิด!p

38ผู้ที่เชื่อในเรา จงดื่มเถิด! ตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ลำธารที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาrจากภายในผู้นั้นq”’

 

39พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้หมายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ แต่เวลานั้นพระเจ้ามิได้ประทานพระจิตเจ้าให้s เพราะพระเยซูเจ้ายังมิได้รับพระสิริรุ่งโรจน์

 

ประชาชนโต้เถียงกันอีกเรื่องต้นกำเนิดของพระเมสสิยาห์

40เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงกล่าวว่า ‘คนนี้เป็นประกาศกจริงๆ’

41บางคนกล่าวว่า ‘คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า’บางคนกล่าวว่า ‘พระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ?

42พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่า พระคริสตเจ้าจะต้องมาจากเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮมt หมู่บ้านที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่’

43ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์

44บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครกล้า

45ทหารยามรักษาพระวิหารได้กลับมาหาบรรดามหาสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถามเขาว่า ‘ทำไมท่านทั้งหลายไม่ได้นำเขามาด้วยเล่า?’

46ทหารยามจึงตอบว่า ‘ไม่มีมนุษย์ผู้ใดพูดจาเหมือนกับชายผู้นี้เลย’

47ชาวฟาริสีกล่าวว่า ‘ท่านทั้งหลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ?

48มีหัวหน้าหรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา?

49แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว’

50ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส –ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้น—ได้กล่าวกับเขาว่า

51‘ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำให้การของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำอะไรเสียก่อน?’

52เขาเหล่านั้นจึงกล่าวตอบว่า ‘ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ? จงค้นคว้าดูเถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกเกิดขึ้นจากแคว้นกาลิลีเลย’

53แล้วทุกคนได้กลับบ้าน

หญิงผิดประเวณีu

บทที่ 8

8 1พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ

2เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนทุกคนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน

3บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีได้นำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงผู้นี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางมายืนตรงกลาง 4แล้วทูลถามพระองค์ว่า ‘อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี

5ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้เอาหินทุ่มหญิงประเภทนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร?’

6เขาถามพระองค์เช่นนี้ เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดินa

7เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า ‘ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด’

8แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป

9เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ เขาค่อยๆทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากผู้อาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม

10พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า ‘นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษท่านเลยหรือ?’

11หญิงคนนั้นทูลตอบว่า ‘ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า’ พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ‘เราก็ไม่เอาโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก’

 

พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องโลกb

12พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่าเราเป็นแสงสว่างส่องโลกผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืดแต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต

 

ชาวฟาริสีโต้เถียงกันว่าการที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นพยานให้ตนเองนั้นใช้ได้หรือไม่

13ชาวฟาริสีกล่าวกับพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นพยานให้แก่ตนเอง คำยืนยันเป็นพยานของท่านจึงไม่น่าเชื่อถือ’

14พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า

แม้เราจะเป็นพยานให้ตนเอง
คำยืนยันเป็นพยานของเราก็น่าเชื่อถือ
เพราะเราทราบว่า
เรามาจากไหน และกำลังไปไหน
แต่ท่านทั้งหลายไม่ทราบว่า
เรามาจากไหน และกำลังไปไหนc

15ท่านพิพากษาตามมาตรการของมนุษย์d แต่เราไม่พิพากษาeผู้ใด

 

16และถึงแม้ว่าเราพิพากษาผู้ใดคำพิพากษาของเราก็น่าเชื่อถือ เพราะเราไม่อยู่คนเดียว แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรานั้นทรงอยู่กับเราด้วย

17ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายมีเขียนไว้ว่าคำยืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็นที่น่าเชื่อถือ

18เราเป็นพยานให้ตนเองและพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย

19เขาเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า ‘พระบิดาของท่านอยู่ที่ใด? พระเยซูเจ้าตรัสว่า ท่านทั้งหลายไม่รู้จักทั้งเรา ทั้งพระบิดาของเรา ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านคงจะรู้จักพระบิดาของเราด้วย

20พระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ในห้องพระคลัง ขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง

21พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาเหล่านั้นอีกว่า ‘เราจากไป แล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่านf ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้’

22ชาวยิวจึงกล่าวว่า ‘เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงกล่าวว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้?”’

23พระเยซูเจ้าตรัสว่าท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง แต่เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้

24เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน  ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นg ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน

25เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นใคร?’ พระองค์ตรัสตอบว่าเราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกhแล้ว

26เรายังมีหลายเรื่องที่จะต้องพูดและพิพากษา เกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์ เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกทราบ

27คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา

28พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาอีกว่าเมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้นเมื่อนั้นท่านจะทราบว่า เราเป็นiและทราบว่าเราไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้

29พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตอยู่กับเราพระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพังเพราะว่าเราทำตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ

30เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์

 

พระเยซูเจ้าและอับราฮัม

31พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่าถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเราท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง

32ท่านจะรู้ความจริงj และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ

33คนเหล่านั้นจึงตอบว่า ‘พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไรว่า “ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ”

34พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาปk

35ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป

36เพราะฉะนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง

37เราทราบว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา เพราะวาจาของเราไม่ซึมซาบเข้าไปในท่าน

38เราเล่าสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อเราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดา ท่านทั้งหลายก็ทำตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย

39คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า ‘บิดาของพวกเราคือ อับราฮัม’ พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำกิจการของอับราฮัมเถิดl

40แต่บัดนี้ ท่านกำลังพยายามจะฆ่าเรา ซึ่งเป็นคนที่บอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า ให้ท่านฟัง อับราฮัมไม่เคยกระทำเช่นนี้เลย

41ท่านไม่กระทำกิจการของอับราฮัม แต่กระทำกิจการของบิดาของท่าน คนเหล่านั้นเถียงว่า ‘เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อm บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า’

42พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเราเพราะเรามาจากพระเจ้าเราไม่ได้มาตามใจตนเองแต่พระองค์ทรงส่งเรามา

43ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เรากล่าว?เพราะท่านไม่สามารถฟังถ้อยคำของเราได้n

44ท่านมาจากปิศาจซึ่งเป็นบิดาของท่านท่านต้องการทำตามความปรารถนาของบิดาของท่านบิดาของท่านเป็นฆาตกรมาตั้งแต่แรกเริ่มเขาไม่ยืนหยัดoอยู่ในความจริงเพราะความจริงไม่อยู่ในเขาเมื่อเขากล่าวเท็จ
เขาก็พูดตามธรรมชาติของเขาเพราะเขาเป็นผู้กล่าวเท็จ และเป็นบิดาของการกล่าวเท็จp

45แต่เรากล่าวความจริงและท่านไม่ยอมเชื่อเรา

46ท่านผู้ใดสามารถพิสูจน์ว่าเราทำบาป?qถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา?

47ผู้ที่มาจากพระเจ้าย่อมฟังพระวาจาของพระเจ้า เหตุที่ท่านไม่ฟังก็เพราะท่านไม่มาจากพระเจ้า

48ชาวยิวกล่าวตอบพระองค์ว่า ‘เรากล่าวถูกแล้วมิใช่หรือว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรีย และถูกปิศาจสิง?’ พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า

49เราไม่ได้ถูกปิศาจสิงแต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเราและท่านล่วงเกินเรา

50เราไม่แสวงหาเกียรติของเรามีผู้อื่นที่แสวงหาเกียรติของเรา และเป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว

51เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเราผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย

52ชาวยิวกล่าวกับพระองค์ว่า ‘บัดนี้ เราทราบแล้วว่า ท่านถูกปิศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นกัน แต่ท่านกล่าวว่า “ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย”

53ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึ่งตายไปแล้วหรือ? บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน?’

54พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าถ้าเราให้เกียรติแก่ตนเองเกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไรผู้ที่ให้เกียรติแก่เราคือพระบิดาของเราผู้ที่ท่านกล่าวว่า ‘เป็นบิดาของท่าน’

55แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์เรารู้จักพระองค์ถ้าเราจะกล่าวว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’เราก็เป็นคนกล่าวเท็จ เหมือนกับท่านแต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์

56อับราฮัม บิดาของท่านได้ชื่นชมที่จะได้เห็นวันของเราrเขาได้เห็น และชื่นชมแล้วs

57ชาวยิวจึงค้านว่า ‘ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี และได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ!’

58พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าก่อนอับราฮัมจะเกิดเราเป็น

59คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์t แต่พระเยซูเจ้าทรงหลบ และเสด็จออกจากพระวิหาร

 

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด

บทที่ 9
9 1ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรคนตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง

2บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ ใครทำบาป ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด?’

3พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า ‘มิใช่ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้กิจการของพระเจ้าaปรากฏในตัวเขา

4‘ตราบใดที่ยังเป็นกลางวันอยู่เราทั้งหลายต้องbทำกิจการของผู้ที่ทรงส่งเรามาแต่เมื่อกลางคืนมาถึง ก็ไม่มีใครสามารถทำงานได้c

5ตราบที่เรายังอยู่ในโลก เราก็เป็นแสงสว่างส่องโลก’d

6เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงที่ดิน ทำเป็นโคลนป้ายตาคนตาบอด

7แล้วตรัสกับเขาว่า ‘จงไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิดe (ชื่อนี้หมายความว่า ‘ถูกส่งไป’) คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมา

8เพื่อนบ้านและคนที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน กล่าวว่า ‘คนนี้เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่มิใช่หรือ?’

9บางคนกล่าวว่า ‘ใช่แล้ว’ บางคนกล่าวว่า ‘ไม่ใช่ แต่เป็นคนอื่นที่คล้ายคลึงกัน’ แต่คนที่เคยตาบอดกล่าวว่า ‘ใช่แล้ว เป็นข้าพเจ้าเอง’ 10คนเหล่านั้นจึงถามเขาว่า ‘ตาของท่านหายบอดได้อย่างไร?’

11เขาตอบว่า ‘คนที่ชื่อเยซูได้ทำโคลนป้ายตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า “จงไปล้างตาที่สระสิโลอัมเถิด” ข้าพเจ้าจึงไป ได้ล้าง พอล้างแล้ว ก็มองเห็น’

12พวกนั้นถามว่า ‘เวลานี้คนนั้นอยู่ที่ไหน?’ เขาตอบว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ทราบ’
13คนเหล่านั้นจึงพาคนที่เคยตาบอดไปหาชาวฟาริสี

14วันที่พระเยซูเจ้าทรงถ่มพระเขฬะทำเป็นโคลนf และทรงรักษาตาของคนตาบอดนั้นเป็นวันสับบาโต

15ชาวฟาริสีได้ถามเขาอีกว่า “เขามองเห็นได้อย่างไร” เขาจึงตอบว่า ‘คนนั้นเอาโคลนป้ายตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไปล้างตาแล้วก็มองเห็น’

16ชาวฟาริสีบางคนกล่าวว่า ‘คนนี้ไม่มาจากพระเจ้า เขาไม่ถือวันสับบาโต’ แต่บางคนแย้งว่า ‘คนบาปจะทำเครื่องหมายอัศจรรย์อย่างนี้ได้อย่างไร?’ ชาวฟาริสีเหล่านั้นมีความคิดเห็นแตกต่างกัน

17จึงถามคนที่เคยตาบอดอีกว่า ‘ท่านล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น ที่เขาได้ทำให้ตาของท่านหายบอด?’ เขาตอบว่า ‘คนนั้นเป็นประกาศก’

18แต่ชาวยิวไม่ยอมเชื่อว่าชายคนนั้นเคยตาบอด แล้วกลับมองเห็นได้g จึงได้เรียกบิดามารดาของเขามา

19แล้วถามว่า ‘คนนี้เป็นลูกของท่าน ซึ่งท่านว่าเกิดมาตาบอดใช่ไหม? บัดนี้ เขากลับเห็นได้อย่างไรกัน?’

20บิดามารดาตอบว่า ‘เราทราบว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และเกิดมาตาบอด

21แต่เราไม่ทราบว่า บัดนี้ เขามองเห็นได้อย่างไร หรือใครได้รักษาตาของเขา เราก็ไม่ทราบ ท่านจงถามเขาเองเถิดh เขาโตพอจะตอบเองได้แล้ว’

22บิดามารดาได้ตอบเช่นนี้ ก็เพราะกลัวชาวยิว ซึ่งได้ตกลงกันแล้วว่า ใครยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ จะถูกขับออกจากศาลาธรรม

23เพราะฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงตอบว่า ‘เขาโตแล้ว ท่านจงถามเขาเองเถิด’

24ชาวยิวเรียกคนที่เคยตาบอดมาอีก บอกเขาว่า ‘จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด!i พวกเราทราบว่าคนนี้เป็นคนบาป’

25คนที่เคยตาบอดแย้งว่า ‘เขาเป็นคนบาปหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าทราบอย่างเดียวว่า ข้าพเจ้าเคยตาบอด และบัดนี้มองเห็นแล้ว’

26พวกนั้นถามอีกว่า ‘เขาทำอะไรกับท่าน? เขารักษาตาของท่านอย่างไร?’

27คนที่เคยตาบอดตอบว่า ‘ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว แต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านต้องการฟังอีกเล่า? ท่านต้องการเป็นศิษย์ของเขาด้วยกระมัง?’

28พวกนั้นจึงด่าเขาว่า ‘ท่านสิ เป็นศิษย์ของเขา ส่วนเราเป็นศิษย์ของโมเสส

29พวกเราทราบว่า พระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส แต่เยซูคนนี้ เราไม่ทราบว่าเขามาจากไหน?’

30คนที่เคยตาบอดจึงกล่าวว่า ‘แปลกจริงที่ท่านทั้งหลายไม่ทราบว่าเขามาจากไหน แต่เขาได้รักษาตาของข้าพเจ้าให้หายบอด!

31เราทั้งหลายทราบอยู่ว่า พระจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังผู้ที่ยำเกรงพระองค์ และปฏิบัติตามพระประสงค์เท่านั้น

32แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้หายได้j

33ถ้าเขาไม่มาจากพระเจ้า เขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้’

34คนเหล่านั้นตอบว่า ‘ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ!’ แล้วจึงขับไล่เขาออกไป

35พระเยซูเจ้าทรงได้ยินว่า ชาวฟาริสีได้ขับไล่คนที่ตาบอดออกไปจากศาลาธรรม เมื่อทรงพบเขา จึงตรัสถามว่า ‘ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ?’

36เขาทูลถามว่า ‘บุตรแห่งมนุษย์คือใคร พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะได้เชื่อในพระองค์’

37พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘ท่านได้เห็นแล้ว เป็นผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน’kนี้แหละ

38เขาจึงทูลว่า ‘ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า’ แล้วกราบลงนมัสการพระองค์

39พระเยซูเจ้าตรัสว่าเรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษาคนที่มองไม่เห็น จะได้แลเห็นส่วนคนที่แลเห็นl จะกลายเป็นคนตาบอด

40ชาวฟาริสีบางคนซึ่งอยู่ที่นั่นได้ยินพระวาจาเหล่านี้ จึงทูลถามพระองค์ว่า ‘พวกเราก็ตาบอดด้วยใช่ไหม?’

41พระเยซูเจ้าทรงตอบว่าถ้าท่านทั้งหลายตาบอดท่านก็ไม่มีบาปแต่ท่านกล่าวว่า ‘เรามองเห็น’บาปของท่านจึงยังคงอยู่

“ผู้เลี้ยงแกะ” ที่ดี

บทที่10 

10 1เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ไม่เข้าคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าทางอื่น ก็เป็นขโมยและโจร

2ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ

3คนเฝ้าประตูย่อมเปิดประตูให้เขาเข้าไป บรรดาแกะก็ฟังเสียงเขา เขาเรียกชื่อแกะของตนทีละตัวa และพาออกไปข้างนอก

4เมื่อเขาพาแกะออกไปหมดแล้ว เขาจะเดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะจำเสียงของเขาได้

5แกะจะไม่ตามคนแปลกหน้าเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า

6พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้คนเหล่านั้นbฟัง แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายความว่าอะไร

7พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเขาอีกว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราเป็นประตูคอกแกะc

8ทุกคนที่มาdก่อนหน้าเราเป็นขโมยและโจรแต่แกะมิได้ฟังเสียงของเขาเหล่านั้น

9เราเป็นประตูผู้ที่เข้ามาทางเราก็จะรอดพ้นเขาจะเข้าจะออกและจะพบทุ่งหญ้า

10ขโมยย่อมมาเพื่อขโมย ฆ่าและทำลายเรามาเพื่อให้แกะมีชีวิตeและมีชีวิตอย่างสมบูรณ์

11เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีfผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน

12ลูกจ้าง ที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงและไม่เป็นเจ้าของแกะเมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามาก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไปสุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็กระจัดกระจายไป

13ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้างไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย

14เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีเรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเราg

15พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใดเราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้นเรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา

16เรายังมีแกะอื่นๆซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้เราต้องนำหน้าแกะเหล่านี้ด้วยhแกะจะฟังเสียงของเราจะมีแกะเพียงฝูงเดียวiและผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว

17พระบิดาทรงรักเราเพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก

18ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้แต่เราเองสมัครใจjสละชีวิตนั้นเรามีอำนาจที่จะสละชีวิตของเราและมีอำนาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีกนี่คือพระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา

19ชาวยิวมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันอีกเพราะพระวาจานี้

20หลายคนกล่าวว่า ‘คนนี้ถูกปิศาจสิง กำลังพูดเพ้อเจ้อ ท่านทั้งหลายฟังเขาทำไม?’

21คนอื่นกล่าวว่า ‘ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่ถ้อยคำของผู้ถูกปิศาจสิง ปิศาจสามารถรักษาตาของคนตาบอดได้หรือ?’

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown