มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

6. พระเยซูเจ้าทรงมุ่งเผชิญความตาย (บทที่11-21)

การกลับคืนชีพของลาซารัส

บทที่ 11

11 1ชายคนหนึ่งกำลังป่วยเขาชื่อลาซารัส มาจากเบธานี หมู่บ้านของมารีย์ และมารธาพี่สาว

2มารีย์คือหญิงที่ได้เอาน้ำมันหอมชโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า เอาผมเช็ดพระบาทa ลาซารัสที่กำลังป่วย เป็นพี่ชายของมารีย์นี้เอง

3พี่น้องทั้งสองคนจึงส่งคนไปทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘พระเจ้าข้า คนที่พระองค์ทรงรักกำลังป่วย’

4เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ก็ตรัสว่า ‘โรคนี้มิได้เกิดขึ้นเพื่อความตาย แต่เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เพราะโรคนี้ พระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระสิรุรุ่งโรจน์’b

5พระเยซูเจ้าทรงรักมารธากับน้องสาว และลาซารัส

6หลังจากทรงทราบว่า ลาซารัสกำลังป่วย พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่นั่นอีกสองวัน

7ต่อจากนั้นพระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า ‘เรากลับไปในแคว้นยูเดียกันเถิด’c

8บรรดาศิษย์ทูลว่า ‘พระอาจารย์ ชาวยิวเพิ่งพยายามเอาหินขว้างพระองค์ แล้วพระองค์ยังจะกลับไปที่นั่นอีกหรือ?’

9พระเยซูเจ้าทรงตอบว่าวันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ?ถ้าใครเดินเวลากลางวันก็ไม่สะดุด เพราะเห็นแสงสว่างของโลกนี้

 

10แต่ถ้าใครเดินเวลากลางคืน ก็สะดุดเพราะเขาไม่มีแสงสว่างเพื่อนำทาง

11เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเสริมว่า ‘ลาซารัสเพื่อนของเรากำลังหลับอยู่ แต่เรากำลังไปปลุกให้ตื่น’

12บรรดาศิษย์จึงทูลว่า ‘พระเจ้าข้า ถ้าเขาหลับอยู่ เขาก็จะหายจากโรค

13พระเยซูเจ้าตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่บรรดาศิษย์คิดว่า พระองค์ตรัสถึง ‘การนอนหลับ’

14ดังนั้นพระองค์จึงตรัสอย่างแจ่มแจ้งว่า ‘ลาซารัสตายแล้ว

15เรายินดีสำหรับท่านทั้งหลายที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อd เราไปหาเขากันเถิด’

16โทมัส –ที่เรียกกันว่าฝาแฝด—กล่าวกับศิษย์อื่นๆว่า ‘เราจงไปตายพร้อมกับพระองค์เถิด’

17เมื่อเสด็จมาถึง พระเยซูเจ้าทรงพบว่าลาซารัสถูกฝังในคูหามาสี่วันแล้ว

18หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ห่างกันราวสามกิโลเมตร

19ชาวยิวจำนวนมากมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบใจนางในมรณกรรมของพี่ชาย

20เมื่อมารธาทราบว่า พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จมา นางได้ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารีย์ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน

21มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่e พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย

22แต่บัดนี้ ดิฉันทราบดีว่า สิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้’f

23พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า ‘พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ’

24มารธาทูลว่า ‘ดิฉันทราบว่า เขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย’

25พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่าเราเป็นการกลับคืนชีพและชีวิตg ใครเชื่อในเรา แม้จะตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิตh

26และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ?’

27มารธาทูลตอบว่า ‘เชื่อพระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า ที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้’

28เมื่อมารธาทูลดังนี้แล้ว นางก็ไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบบอกว่า ‘พระอาจารย์อยู่ที่นี่ และทรงเรียกน้องด้วย’

29เมื่อมารีย์ได้ยินดังนั้น ก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์

30พระเยซูเจ้ายังไม่ได้เสด็จเข้าในหมู่บ้าน แต่ยังประทับอยู่ในที่ที่มารธามาเฝ้า

31ชาวยิวซึ่งอยู่ที่บ้านกับมารีย์เพื่อปลอบใจนาง เมื่อเห็นนางรีบลุกขึ้นออกไป ก็พากันตามไปด้วย คิดว่านางคงจะไปร้องไห้ที่คูหาฝังศพ

32เมื่อมารีย์มาถึงที่ที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ และเห็นพระองค์ ก็กราบลงแทบพระบาท ทูลว่า ‘พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย’

33พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรนางกำลังร้องไห้ และชาวยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ทรงรู้สึกสะเทือนพระทัยด้วยความเศร้าโศกอย่างยิ่ง

34ตรัสว่า ‘ท่านฝังเขาไว้ที่ไหน?’ เขาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด’

35พระเยซูเจ้าทรงกันแสง

36ชาวยิวจึงพูดว่า ‘ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร!’

37แต่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ‘พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดได้ จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?’

38พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกสะเทือนพระทัยอีก เสด็จถึงคูหาฝังศพ ซึ่งเป็นโพรงหินมีหินแผ่นหนึ่งปิดอยู่

39พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘จงเอาหินออก!’ มารธาiน้องสาวของผู้ตายทูลว่า ‘พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาตั้งสี่วัน’

40พระเยซูเจ้าตรัสถามว่า ‘เรามิได้บอกท่านหรือว่า ถ้าท่านมีความเชื่อ ท่านจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า?’

41คนเหล่านั้นจึงยกแผ่นหินออก พระเยซูเจ้าทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นj ตรัสว่าข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังคำของข้าพเจ้า

42ข้าพเจ้าทราบดีว่า พระองค์ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอแต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ก็เพื่อประชาชนที่ยืนอยู่รอบข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา

43ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า ‘ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด!’

44ผู้ตายก็ออกมา มีผ้าพันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘จงเอาผ้าออกและปล่อยเขาไปเถิด’

 

ผู้นำชาวยิวตกลงที่จะประหารพระเยซูเจ้า

45ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และได้เห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ก็เชื่อในพระองค์

46แต่บางคนไปหาชาวฟาริสีเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำให้ฟัง

47บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียกประชุมสภา’ ปรึกษากันว่า ‘พวกเราจะทำอย่างไรดี เพราะคนคนนี้ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง?’

48ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะพากันเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารk และชนชาติของเรา’

49คนหนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า ‘ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย

50ท่านไม่คิดหรือว่า ถ้าคนหนึ่งจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่าlที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป?’

51เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ตามใจตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นมหาสมณะในปีนั้นm เขาได้ประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติn—

52และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าทรงกระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน

53ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกันoที่จะประหารพระองค์

54ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยท่ามกลางชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไปที่เมือง(ชื่อ)เอฟราอิม ในเขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำนักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์

 

วันฉลองปัสกาใกล้เข้ามา

55วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึงp ประชาชนจำนวนมากเดินทางจากชนบทขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อชำระตนก่อนวันฉลองq

56เขาเหล่านั้นแสวงหาพระเยซูเจ้า และขณะที่ยืนอยู่ในพระวิหารก็ถามกันว่า ‘ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่?’

57บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำสั่งว่า ถ้าใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงานให้ทราบ เพื่อจะได้จับกุมพระองค์

 

การเจิมที่เบธานี

บทที่ 12
12 1หกวันก่อนฉลองปัสกาa พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานี ตำบลที่อยู่ของลาซารัสที่พระองค์ได้ทรงทำให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย

2ผู้คนที่นั่นได้จัดงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระองค์ มารธาคอยรับใช้ ขณะที่ลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ด้วย

3มารีย์ได้เอาน้ำมันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพงหนักหนึ่งปอนด์มาเจิมพระบาทของพระเยซูเจ้า และใช้ผมเช็ดพระบาท กลิ่นน้ำมันหอมอบอวลไปทั่วบ้าน 4ยูดาส อิสคาริโอท –ศิษย์คนหนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์—กล่าวว่า

5‘ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมนี้ไปขายราคาสามร้อยเหรียญ แล้วนำเงินไปแจกให้คนยากจนเล่า?’

6ที่เขากล่าวเช่นนี้มิใช่เพราะเขาห่วงใยคนยากจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย เขาเป็นผู้ถือถุงเงินและยักยอกเงินในถุงนั้น

7พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ‘ช่างเถิด ปล่อยให้นางเก็บน้ำมันหอมนี้ไว้สำหรับวันฝังศพของเราb

8คนยากจนนั้นอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอไป’

9ชาวยิวจำนวนมากได้ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงพากันมา มิใช่เพื่อเฝ้าพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่เพื่อมาดูลาซารัส ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายด้วย

10บรรดาหัวหน้าสมณะจึงตกลงกันจะฆ่าลาซารัสด้วย

11เพราะลาซารัสทำให้ชาวยิวจำนวนมากไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์

 

พระเมสสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม

12วันรุ่งขึ้น ประชาชนจำนวนมากที่มาในวันฉลองได้ยินว่า พระเยซูเจ้าเสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม

13จึงพากันถือใบปาล์ม ออกไปรับเสด็จ พลางร้องว่า‘โฮซันนา! ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามของพระเจ้า ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์แห่งอิสราเอล’c

14พระเยซูเจ้าทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงประทับบนหลังลูกลาตัวนั้น –ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

15ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย ดูซิ กษัตริย์ของเจ้ากำลังเสด็จมาแล้ว  ประทับบนหลังลูกลา

16ครั้งแรก บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจความหมายของเหตุการณ์นี้ แต่เมื่อพระเยซูเจ้าได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว เขาจึงระลึกได้ว่า สิ่งที่ประชาชนกระทำแด่พระองค์นั้นมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว

17ประชาชนที่อยู่กับพระองค์ เมื่อทรงเรียกลาซารัสให้ออกจากคูหาที่ฝังศพ และทรงทำให้เขากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ก็ได้เล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟัง

18เพราะเหตุที่ประชาชนได้ยินว่าพระองค์ได้ทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์นี้ จึงพากันออกไปรับเสด็จพระองค์

19ชาวฟาริสีจึงกล่าวแก่กันว่า ‘เห็นไหม พวกเราทำอะไรไม่ได้เลย ดูซิ โลกทั้งโลกกำลังตามเขาไปแล้ว!’

 

พระเยซูเจ้าทรงกล่าวล่วงหน้าถึงการสิ้นพระชนม์ และการรับพระสิริรุ่งโรจน์

20ผู้ที่ขึ้นไปนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็มในงานฉลองนั้น บางคนเป็นชาวกรีกd

21เขาไปหาฟิลิป ซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดา ในแคว้นกาลิลี แล้วถามว่า ‘ท่านครับ พวกเราอยากเห็นพระเยซูเจ้า’

22ฟิลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟิลิปจึงไปทูลพระเยซูเจ้า

23พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว

24เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดิน และตายไป มันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันก็จะบังเกิดผลมากมาย

25ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้e ก็ย่อมจะรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร

26ถ้าผู้ใดรับใช้เรา ผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา ผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา

27บัดนี้ จิตใจของเราหวั่นไหวf เราจะพูดอะไรเล่า จะกล่าวว่า ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้กระนั้นหรือ? หามิได้ แต่เพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าได้มาถึงเวลานี้

28ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระนามของพระองค์เถิด!g แล้วมีเสียงดังจากฟ้าว่า ‘เราได้ให้พระสิริรุ่งโรจน์แล้ว และจะให้อีก’

29ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียง จึงพูดว่า “ฟ้าร้อง” แต่บางคนว่า ‘ทูตสวรรค์ได้พูดกับเขา’

30พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เสียงนี้เกิดขึ้นมิใช่เพื่อเรา แต่เพื่อท่านทั้งหลายh

31‘บัดนี้ ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกแล้ว บัดนี้ เจ้านายแห่งโลกนี้กำลังจะถูกขับไล่ออกไปi

32และเมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดินj เราจะดึงดูดทุกคนkเข้ามาหาเรา’l

33พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้ แสดงว่า พระองค์ทรงทราบว่าจะสิ้นพระชนม์อย่างไร

34ประชาชนทูลตอบว่า ‘เราได้เรียนรู้จากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดนิรันดร แล้วท่านพูดได้อย่างไรว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น?” ใครเป็นบุตรแห่งมนุษย์ผู้นี้?’

35พระเยซูเจ้าตรัสว่า แสงสว่างอยู่กับท่านทั้งหลายอีกไม่นาน จงเดินmในขณะที่ท่านมีแสงสว่างเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทัน ผู้ที่กำลังเดินอยู่ในความมืดไม่รู้ว่าเขากำลังไปที่ใด

36ตราบใดที่ท่านยังมีแสงสว่าง จงเชื่อในแสงสว่างเถิด เพื่อท่านจะกลายเป็นบุตรของแสงสว่าง’ เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าเสด็จจากไป และทรงหลบซ่อนพระองค์ไม่ให้ประชาชนแลเห็น

 

บทสรุป

37แม้พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์มากมายต่อหน้าประชาชน แต่เขาก็ไม่เชื่อในพระองค์

38ดังนี้ วาจาของประกาศกอิสยาห์จึงเป็นความจริงที่ว่าข้าแต่พระเจ้า ใครเชื่อถ้อยคำที่ได้ยินจากเราแล้ว และพระอานุภาพของพระเจ้าเป็นที่เปิดเผยแก่ใครเล่า?

39เขาไม่สามารถจะเชื่อได้ ดังที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวไว้อีกว่า

40พระองค์ทรงทำให้ตาของเขาบอด ทรงทำให้ใจของเขาแข็งกระด้าง ดังนั้น ตาของเขาจึงมองไม่เห็น ใจของเขาไม่เข้าใจ และไม่กลับใจ เพื่อเราจะรักษาเขาได้

41ประกาศกอิสยาห์กล่าวไว้เช่นนี้เพราะเขาได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าn และกล่าวถึงพระองค์แล้ว

42แม้กระนั้นก็ยังมีหัวหน้าชาวยิวหลายคนที่เชื่อในพระองค์ แต่เขาไม่กล้าแสดงความเชื่ออย่างเปิดเผย เพราะกลัวชาวฟาริสี เกรงว่าจะถูกขับไล่ออกจากศาลาธรรม

43เขารักเกียรติที่มาจากมนุษย์มากกว่าพระสิริรุ่งโรจน์ที่มาจากพระเจ้า

44พระเยซูเจ้าทรงประกาศเสียงดังว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ไม่ได้เชื่อในเราเท่านั้น แต่เชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย

45ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา

46เราเข้ามาในโลกเป็นแสงสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในเราไม่อยู่ในความมืด

47ถ้าผู้ใดได้ยินวาจาของเรา แล้วไม่ปฏิบัติตาม เราไม่ตัดสินลงโทษเขา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น

48ผู้ที่ไม่ยอมรับเรา และไม่ยอมรับวาจาของเรา ก็มีผู้ตัดสินลงโทษเขาแล้ว วาจาที่เราได้กล่าวนั้น จะตัดสินลงโทษเขาในวันสุดท้าย

49เพราะเรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ได้ทรงบัญชาว่าเราต้องกล่าวอะไร และกล่าวอย่างไร

50เราทราบว่า พระบัญชาของพระองค์เป็นชีวิตนิรันดร ดังนั้น สิ่งที่เรากล่าวนั้น เราก็กล่าวดังที่พระบิดาได้ทรงกล่าวแก่เรา


ค: เวลาของพระเยซูเจ้ามาถึงแล้ว

ฉลองปัสกา: ลูกแกะของพระเจ้าถูกประหาร

ก: อาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูเจ้ากับบรรดาศิษย์

การล้างเท้า

บทที่ 13
13 1ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดาa พระองค์ทรงรักbผู้ที่เป็นของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุดc

2ระหว่างการเลี้ยงอาหารค่ำd ปิศาจได้ดลใจeยูดาสอิสคาริโอท บุตรของซีโมนให้ทรยศต่อพระองค์

3พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว และทรงทราบว่า พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า และกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า

4จึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงเอาผ้าเช็ดตัวมาคาดสะเอว

5แล้วทรงเทน้ำลงในอ่าง เริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์f และเอาผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้

6เมื่อเสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาก็ทูลพระองค์ว่า ‘พระเจ้าข้า พระองค์ทรงล้างเท้าของข้าพเจ้าเทียวหรือ?’

7พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า ‘สิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง’

8เปโตรทูลว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้าเลย’ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา’g ซีโมน เปโตรทูลว่า

9‘พระเจ้าข้า อย่าล้างเฉพาะเท้าเท่านั้น แต่ล้างทั้งมือและศีรษะด้วย!’

10พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้าh เขาสะอาดทั้งตัวแล้วi ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้วj แต่ไม่ทุกคน’

11ทั้งนี้ทรงทราบว่า ใครกำลังทรยศต่อพระองค์ จึงตรัสว่า ‘ท่านทั้งหลายสะอาด แต่ไม่ทุกคน’

12เมื่อทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าทรงสวมเสื้อคลุมอีก เสด็จกลับที่โต๊ะ ตรัสว่า ‘ท่านเข้าใจไหมว่าเราได้ทำอะไรให้ท่าน?

13ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ

14ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้ากันและกันด้วยk

15เราได้วางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้กระทำเหมือนกับที่เราได้กระทำกับท่าน

16‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ผู้ถูกส่งไปย่อมไม่ใหญ่กว่าผู้ที่ส่งเขาไป

17‘บัดนี้ ท่านทราบเรื่องนี้แล้ว ถ้าท่านปฏิบัติตาม ท่านย่อมเป็นสุข

18เราไม่กล่าวเช่นนี้เพื่อท่านทุกคน เรารู้จักผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว แต่พระคัมภีร์จะต้องเป็นความจริง ที่ว่า ‘ผู้ที่กินปังของเรา ได้ยกส้นเท้าใส่เราl

19เราบอกท่านทั้งหลายตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะได้เชื่อว่าเราเป็นm

20เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ใครรับผู้ที่เราส่งไป ก็รับเราใครรับเรา ก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา’

พระเยซูเจ้าตรัสล่วงหน้าว่ายูดาสจะทรยศต่อพระองค์

21เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย จึงตรัสยืนยันว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา’

22บรรดาศิษย์ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหมายถึงใคร

23ศิษย์คนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักนั่งโต๊ะอยู่ติดกับพระองค์

24ซีโมน เปโตรจึงทำสัญญาณให้เขาทูลถามว่า ‘ผู้ที่พระองค์กำลังตรัสถึงนี้เป็นใคร’

25เขาจึงเอนกายชิดพระอุระของพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เป็นใครหรือ?

26พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า ‘เป็นผู้ที่เราจะจุ่มขนมปัง ส่งให้’n แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่ง ส่งให้ยูดาส บุตรของซีโมน อิสคาริโอท

27แต่เมื่อยูดาสได้รับขนมปังชิ้นนี้แล้ว ซาตานก็เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า ‘ท่านทำอะไร ก็จงทำเสียโดยเร็วเถิด’

28ผู้ร่วมโต๊ะด้วยกันไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้

29บางคนคิดว่าเนื่องจากยูดาสเป็นผู้ถือถุงเงิน พระเยซูเจ้าทรงบอกเขาว่า ‘จงไปซื้อของที่จำเป็นสำหรับวันฉลอง’ หรือบอกว่า จงไปแจกทานแก่คนยากจน

30ดังนั้น เมื่อยูดาสรับชิ้นขนมปังแล้ว ก็ออกไปทันที –ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน

 

คำปราศรัยอำลาo

31เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า บัดนี้p บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์และพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ด้วย

32ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์q พระเจ้าจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระองค์ด้วยr และจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในทันที

33ลูกทั้งหลายเอ๋ยเราอยู่กับท่านอีกเพียงเล็กน้อยท่านจะแสวงหาเราแต่เราบอกท่านบัดนี้เหมือนกับที่เราได้เคยบอกชาวยิวsว่าที่ที่เราไปนั้นท่านไปไม่ได้t

34เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลายu ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด

35ถ้าท่านมีความรักต่อกันและกัน ทุกคนจะรู้ว่า ท่านเป็นศิษย์ของเรา

36ซีโมน เปโตรทูลว่า ‘พระเจ้าข้า พระองค์กำลังจะไปไหน?’ พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า ‘ที่ที่เราไปนั้น ท่านยังตามไปไม่ได้เวลานี้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง’v

37เปโตรทูลพระองค์ว่าw ‘พระเจ้าข้า ทำไมข้าพเจ้าจึงตามพระองค์ไปไม่ได้เวลานี้? ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพื่อพระองค์’

38พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า ‘ท่านจะสละชีวิตเพื่อเราหรือ? เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนไก่จะขัน ท่านจะปฏิเสธไม่รู้จักเราแล้วถึงสามครั้ง’

บทที่ 14

14 1ขอใจของท่านทั้งหลายอย่าหวั่นไหวเลยa จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย

2ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำนักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงได้บอกท่านแล้วb เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน

3และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วยc เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย

4ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านก็รู้จักหนทางแล้ว

5โทมัสทูลว่า ‘พระเจ้าข้า พวกเราไม่ทราบว่าพระองค์กำลังเสด็จไปที่ใด แล้วจะรู้จักหนทางได้อย่างไร?’

6พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิตd ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา

7ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราe ท่านก็คงรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว

8ฟิลิปทูลว่า ‘พระเจ้าข้า โปรดสำแดงพระบิดาให้พวกเราเห็นเถิด เพียงนี้ก็พอแล้ว’ พระเยซูเจ้าตรัสว่า

9‘ฟิลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านทั้งหลายมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ?

‘ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านกล่าวได้อย่างไรว่า “โปรดสำแดงพระบิดาให้พวกเราเห็นเถิด?”

10ท่านไม่เชื่อหรือfว่า เราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงดำรงอยู่ในเรา? วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้กล่าวตามใจของเรา แต่พระบิดา ผู้ทรงสถิตในเรา ทรงกระทำกิจการของพระองค์

11ท่านทั้งหลายจงเชื่อเราเถิดว่า เราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำรงอยู่ในเรา หรืออย่างน้อยท่านทั้งหลายจงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด

12เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วย และจะทำกิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก เพราะเรากำลังไปเฝ้าพระบิดาg

13สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อพระบิดาจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระบุตร

14ถ้าท่านทั้งหลายขอสิ่งใดในนามของเราเราจะทำให้

15ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเราh

16และเราจะวอนขอพระบิดาแล้วพระองค์จะประทานผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้ท่านiเพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป

 

17คือพระจิตแห่งความจริงซึ่งโลกไม่สามารถรับไว้ได้เพราะแลไม่เห็น และไม่รู้จักพระองค์แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่กับท่าน และจะอยู่ในท่านj

18เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้าเราจะกลับมาหาท่าน

19ในไม่ช้า โลกจะไม่เห็นเราอีกแต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิตและท่านก็จะมีชีวิตด้วยk

20ในวันนั้นl ท่านจะรู้ว่า เราอยู่ในพระบิดาของเราท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่านm

21ผู้ที่มีบทบัญญัติของเรา และปฏิบัติตาม ผู้นั้นแหละรักเรา และผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขา และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา’n

22ยูดาสo (--มิใช่ยูดาส อิสคาริโอท--) ทูลพระองค์ว่า ‘พระเจ้าข้า ทำไมพระองค์ทรงต้องการสำแดงพระองค์แก่พวกเรา แต่ไม่สำแดงพระองค์แก่โลก?’

23พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่าถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเราp และพระบิดาของเราจะทรงรักเขาแล้วพระบิดาและเราจะมาหาเขา และจะพำนักอยู่กับเขา

24ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่ปฏิบัติตามวาจาของเรา วาจาที่ท่านได้ยินนี้qไม่ใช่วาจาของเรา แต่เป็นของพระบิดา ผู้ทรงส่งเรามา

25เราได้กล่าววาจานี้ให้ท่านทั้งหลายฟัง ขณะที่เรายังอยู่กับท่าน

26แต่พระผู้ช่วยเหลือคือ พระจิตเจ้า ที่พระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทุกสิ่ง และจะทรงให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้เคยกล่าวแก่ท่านr

27เรามอบสันติสุขsไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเราแก่ท่าน เราให้สันติสุขแก่ท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย

28ท่านได้ยินแล้วที่เรากล่าวกับท่านว่า เรากำลังไป และเราจะกลับมาหาท่านทั้งหลาย ถ้าท่านรักเรา ท่านคงจะยินดีที่เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเราt

29และบัดนี้เราได้บอกท่านทั้งหลายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ท่านจะได้เชื่อ

30เราจะไม่พูดกับท่านนานต่อไปอีกu เพราะเจ้าแห่งโลกนี้กำลังมา มันไม่มีอำนาจอันใดเหนือเรา

31แต่โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดา และรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชาให้เราทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น… ลุกขึ้น เราจงไปกันเถิด”

 

เถาองุ่นที่แท้จริง

บทที่15
15 1เราเป็นเถาองุ่นaที่แท้จริง และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน

2กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผลb พระองค์จะทรงตัดทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิด เพื่อให้เกิดผลมากขึ้น

3ท่านทั้งหลายก็สะอาดcอยู่แล้ว เพราะวาจาที่เราได้กล่าวกับท่าน

4ท่านทั้งหลายจงดำรงอยู่ในเราเถิด ดังที่เราดำรงอยู่ในท่าน กิ่งก้านองุ่นย่อมไม่สามารถเกิดผลได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่ติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำรงอยู่ในเราฉันนั้น

5เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าไม่มีเรา ท่านก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

6ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเรา ก็จะถูกโยนทิ้งไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้าน--และจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้นจะถูกเก็บไปทิ้งในไฟ เผาเสีย

7ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในเรา และวาจาของเราดำรงอยู่ในท่านแล้ว ท่านอยากได้อะไร ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รับ

8พระบิดาของเราจะรับพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อท่านเกิดผลมาก และกลายเป็นศิษย์ของเราd

9พระบิดาของเราได้ทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด

10ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์

11เราได้บอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีeของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์

12นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน

13ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย

14ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน

15เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะเราได้แจ้งให้ท่านทราบทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา

16มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะได้ประทานแก่ท่าน

17เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน

 

บรรดาศิษย์และโลกf

18ถ้าโลกเกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ไว้เถิดว่า โลกได้เกลียดชังเราก่อนแล้ว

19ถ้าท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายโลก โลกก็คงรักสิ่งที่เป็นของตน แต่เพราะว่าท่านมิได้เป็นฝ่ายโลก และเราได้เลือกท่านออกมาจากโลก โลกจึงเกลียดชังท่าน

20จงจำวาจาที่เรากล่าวแล้วเถิดว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ถ้าเขาเบียดเบียนข่มเหงเรา เขาก็จะเบียดเบียนข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาได้ปฏิบัติตามวาจาของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามวาจาของท่านทั้งหลายด้วย

21แต่เขาจะทำทุกอย่างเช่นนี้แก่ท่าน ก็เพราะนามของเราเพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา

22ถ้าเราไม่ได้มาสั่งสอนเขาเขาคงจะไม่มีบาป แต่บัดนี้ เขาไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับบาปของตน

23ผู้ที่เกลียดชังเรา ผู้นั้นก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย

24ถ้าในท่ามกลางพวกเขาเรามิได้กระทำกิจการที่ไม่มีผู้อื่นได้กระทำเลย เขาคงจะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาเห็นกิจการเหล่านี้แล้ว เขาก็เกลียดชังทั้งเรา และพระบิดาของเรา

25ดังนี้พระวาจาที่เขียนไว้ในธรรมบัญญัติของเขาก็เป็นความจริง ที่ว่า เขาทั้งหลายได้เกลียดชังเราโดยไม่มีเหตุผล

26เมื่อพระผู้ช่วยเหลือซึ่งเราจะส่งมาจากgพระบิดา จะเสด็จมา คือพระจิตแห่งความจริง ผู้ทรงเนื่องมาจากพระบิดา พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา

27ท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานให้เราด้วย

เพราะท่านอยู่กับเรามาตั้งแต่แรกแล้ว

 

บทที่ 16

16 1เราได้บอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะไม่สะดุดใจa

2เขาจะขับไล่ท่านออกจากศาลาธรรม เวลานั้นกำลังมาถึง เมื่อผู้ที่ฆ่าท่านจะคิดว่า ตนกำลังถวายคารวกิจแด่พระเจ้า

3เขาจะทำเช่นนี้ เพราะเขาไม่ได้รู้จักทั้งพระบิดา และเรา

4แต่เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะระลึกได้ ว่าเราบอกท่านแล้ว การเสด็จมาของพระผู้ช่วยเหลือ เราไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านตั้งแต่ต้น เพราะเรายังอยู่กับท่าน

5แต่บัดนี้เรากำลังไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา และไม่มีท่านใดถามเราว่า ‘พระองค์กำลังเสด็จไปไหน?’

6แต่เพราะเราได้กล่าวเรื่องเหล่านี้แก่ท่าน ใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์

7เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่เราไปนั้นก็เป็นประโยชน์แก่ท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่านแต่ถ้าเราไปเราจะส่งพระองค์มาหาท่าน

8เมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงสำแดงให้โลกเห็นความหมายbของบาปของความถูกต้องและของการตัดสิน

9บาปของโลกคือเขาไม่ได้เชื่อในเราc

10ความถูกต้องคือเรากำลังไปเฝ้าพระบิดาและท่านจะไม่เห็นเราอีกd

11การตัดสินคือเจ้านายแห่งโลกนี้ถูกตัดสินลงโทษแล้วe

12เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังไม่สามารถรับไว้ได้

13เมื่อพระจิตแห่งความจริงจะเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมาและจะทรงแจ้งให้ท่านทราบถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นf

14พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทราบคำสอนที่ทรงได้รับจากเรา

15ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วยเพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวว่าพระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านทราบคำสอนที่ทรงรับจากเราg

 

พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาในไม่ช้า

16อีกไม่นาน ท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราและต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีกh

17ศิษย์บางคนจึงถามกันว่า ‘ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า “อีกไม่นาน ท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก” หมายความว่าอะไร?’ และที่พระองค์ตรัสว่า “เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา” หมายความว่าอะไร?’

18เขาพูดกันอีกว่า ที่พระองค์ตรัสว่า “อีกไม่นาน” นั้นหมายความว่าอะไร?’i เราไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสอะไร’

19พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าบรรดาศิษย์ต้องการทูลถามพระองค์ จึงตรัสว่า ‘ท่านกำลังถามกันใช่ไหมถึงเรื่องที่เรากล่าวว่า “อีกไม่นานท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นานท่านจะเห็นเราอีก”

20‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ท่านจะร้องไห้ คร่ำครวญ
แต่โลกจะชื่นชมยินดี
ท่านจะเศร้าโศก
แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดีj

21หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรย่อมมีความทุกข์
เพราะถึงเวลาของนางแล้วk
แต่เมื่อได้คลอดบุตรแล้ว นางก็จำความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป
เพราะความยินดีที่มนุษย์คนหนึ่งได้เกิดมาในโลก

22ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
บัดนี้ท่านมีความทุกข์
แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจของท่านจะชื่นชมยินดี
ไม่มีใครเอาความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้

23ในวันนั้น
ท่านทั้งหลายจะไม่ถามอะไรเราอีก
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา
พระองค์จะประทานให้แก่ท่านในนามของเรา

24จนถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้ขออะไรในนามของเราเลยl
จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ
เพื่อว่าความยินดีของท่านจะสมบูรณ์

25เราได้ใช้อุปมาบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่าน
จะถึงเวลา
ที่เราจะไม่ใช้อุปมาพูดกับท่านอีก
แต่จะกล่าวถึงพระบิดาของเราให้ท่านทราบอย่างแจ่มแจ้งm

26ในวันนั้น
ท่านจะขอในนามของเรา
เราไม่กล่าวแก่ท่านว่า เราจะขอพระบิดาnเพื่อท่าน

27พระบิดาทรงรักท่านเพราะท่านได้รักเรา และได้เชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า

 

28เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้บัดนี้ เรากำลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก’

29บรรดาศิษย์ทูลว่า ‘ใช่แล้ว บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างแจ่มแจ้ง มิได้ใช้อุปมาใดๆ

30บัดนี้พวกเรารู้ว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ใครจะทูลถามพระองค์อีก เพราะฉะนั้น เราจึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า’ 31พระเยซูเจ้าตรัสว่า

32‘บัดนี้ ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ?เวลานั้นจะมาถึง (และเวลานั้นก็มาถึงแล้ว)เวลาที่ท่านทั้งหลายจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางและจะทิ้งเราไว้คนเดียวแต่เราไม่อยู่คนเดียวเพราะพระบิดาทรงอยู่กับเรา

33เราได้บอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านแล้วเพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเราในโลกนี้ ท่านจะมีความทุกข์ยากแต่อย่าท้อแท้เราชนะโลกแล้ว

 

คำอธิษฐานของพระเยซูเจ้าa

บทที่ 17
17 1พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า

ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระบุตรของพระองค์เถิด เพื่อพระองค์จะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระบุตรb

2ดังที่พระองค์ได้ประทานอำนาจแก่พระบุตรเหนือมนุษย์ทั้งมวล
เพื่อพระบุตรจะได้ประทานชีวิตนิรันดรแก่ทุกคนที่พระองค์ทรงมอบไว้ให้

3ชีวิตนิรันดรคือ การรู้จักcพระองค์ พระเจ้าแท้แต่พระองค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงส่งมาdคือพระเยซูคริสตเจ้า

4ข้าพเจ้าได้ทำให้พระองค์รับพระสิริรุ่งโรจน์ในโลกนี้แล้ว โดยปฏิบัติภารกิจจนสำเร็จตามที่ทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้า

5บัดนี้ พระบิดาเจ้าข้า โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่ข้าพเจ้า พระสิริรุ่งโรจน์ที่ข้าพเจ้าเคยมีร่วมกับพระองค์e ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกf

6ข้าพเจ้าได้สำแดงพระนามของพระองค์g แก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงนำจากโลกมามอบแก่ข้าพเจ้า เขาทั้งหลายเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงมอบเขาให้ข้าพเจ้า เขาได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์

7บัดนี้ เขารู้แล้วว่า ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้นมาจากพระองค์

8เพราะว่าพระวาจาที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าได้มอบให้เขาแล้วเขาได้รับไว้และรู้แน่นอนhว่า ข้าพเจ้ามาจากพระองค์และเขาก็เชื่อว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา

9ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาสำหรับเขาเหล่านี้
ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานภาวนาสำหรับโลก
แต่สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้แก่ข้าพเจ้า
เพราะเขาเป็นของพระองค์

10ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพเจ้า เป็นของพระองค์
ทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์ ก็เป็นของข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าได้รับสิริรุ่งโรจน์โดยทางเขา

11ข้าพเจ้าไม่อยู่ในโลกอีกต่อไป
แต่เขายังอยู่ในโลก
และข้าพเจ้ากำลังกลับไปเฝ้าพระองค์
ข้าแต่พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
โปรดเฝ้ารักษาบรรดาผู้ที่ทรงมอบแก่ข้าพเจ้าi ไว้ในพระนามของพระองค์
เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระองค์และข้าพเจ้า

12เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับบรรดาผู้ทรงมอบแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าได้เฝ้ารักษาเขาเหล่านั้นไว้ในพระนามของพระองค์
ข้าพเจ้าได้เฝ้ารักษาไว้ และไม่มีผู้ใดพินาศ
เว้นแต่ผู้ที่ต้องพินาศj
เพื่อให้เป็นความจริงตามพระคัมภีร์

13แต่บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังกลับไปเฝ้าพระองค์
ข้าพเจ้ากล่าววาจานี้ขณะที่ยังอยู่ในโลก
เพื่อบรรดาผู้ที่มอบแก่ข้าพเจ้าจะได้มีความชื่นชมยินดีอย่างบริบูรณ์พร้อมกับข้าพเจ้า

14ข้าพเจ้าได้มอบพระวาจาของพระองค์แก่เขาเหล่านั้นแล้ว
และโลกได้เกลียดชังเขา
เพราะเขามิได้เป็นของโลก
เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นของโลก

15ข้าพเจ้ามิได้วอนขอพระองค์ให้ทรงยกเขาออกจากโลก
แต่ขอให้ทรงรักษาเขาให้พ้นจากมารร้ายk

16เขาไม่เป็นของโลก
เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้ามิได้เป็นของโลก

17โปรดบันดาลให้เขาศักดิ์สิทธิ์โดยlอาศัยความจริง
พระวาจาของพระองค์คือ ความจริง

18พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามาในโลกฉันใด
ข้าพเจ้าก็ส่งเขาเข้าไปในโลกฉันนั้น

19ข้าพเจ้าถวายตนเป็นบูชาmสำหรับเขา
เพื่อเขาจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงด้วย

20ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนามิใช่สำหรับคนเหล่านี้เท่านั้น
แต่สำหรับผู้ที่จะเชื่อในข้าพเจ้าn
เพราะวาจาของเขาด้วย

21ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน
เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์
เพื่อให้เขาทั้งหลายอยู่ในพระองค์และในข้าพเจ้า
โลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ทรงส่งข้าพเจ้ามา

22พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้แก่เขาเพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน

23ข้าพเจ้าอยู่ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้าเพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามาและพระองค์ทรงรักเขาoเช่นเดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า

24ข้าแต่พระบิดา ผู้ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าปรารถนาให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่เพื่อเขาจะได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพเจ้าเพราะพระองค์ทรงรักข้าพเจ้าตั้งแต่ก่อนสร้างโลก

25ข้าแต่พระบิดา ผู้ทรงเที่ยงธรรม โลกไม่ได้รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้าได้รู้จัก และคนเหล่านี้ทราบว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา

26ข้าพเจ้าได้บอกให้เขารู้จักพระนามของพระองค์และจะบอกให้รู้ต่อไป

เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขา
และข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาด้วยเช่นกัน

 

ข: พระทรมานของพระเยซูเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม

บทที่ 18
18 1พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์

2ยูดาสผู้ทรยศรู้จักสถานที่นั้นด้วย เพราะพระองค์เคยทรงพบกับบรรดาศิษย์ที่นั่นบ่อยๆ 3ยูดาสได้นำกองทหารaและยามรักษาพระวิหารที่บรรดาหัวหน้าสมณะ และชาวฟาริสีจัดหาให้มาที่นั่น ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธไปด้วย

4พระเยซูเจ้าทรงทราบถึงทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงเสด็จออกไปถามเขาเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลาย แสวงหาใคร?”

5เขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นผู้นั้น” ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับพวกเขาด้วย 6แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นผู้นั้น” เขาเหล่านั้นก็ถอยหลัง ล้มลงกับพื้นดิน

7พระองค์ตรัสถามอีกว่า “ท่านทั้งหลายแสวงหาใคร?” เขาตอบว่า “หาเยซู ชาวนาซาเร็ธ”

8พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า เราเป็นผู้นั้น ถ้าท่านแสวงหาเรา ก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเสีย”

9ดังนี้ พระวาจาที่พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้จึงเป็นความจริงว่า บรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ทำให้ผู้ใดพินาศเลย”

10ซีโมน เปโตร มีดาบ จึงชักดาบออกมา ฟันคนใช้คนหนึ่งของมหาสมณะ ถูกใบหูข้างขวาขาด คนใช้คนนั้นชื่อมัลคัส

11แต่พระเยซูเจ้าตรัสแก่เปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มจากถ้วยที่พระบิดาประทานให้เราหรือ?”

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกไต่สวนต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส เปโตรปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์

12แล้วกองทหาร ผู้บังคับกองและยามรักษาพระวิหารที่ชาวยิวจัดให้ได้จับกุมพระเยซูเจ้า มัดพระองค์

13นำไปหาอันนาสก่อน อันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาสมณะในปีนั้น

14คายาฟาสเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำแก่ชาวยิวว่า “จะเป็นประโยชน์มากกว่าถ้าคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน”
15ซีโมน เปโตร ตามพระเยซูเจ้าไปกับศิษย์อีกผู้หนึ่งb ศิษย์ผู้นั้นรู้จักมหาสมณะ จึงเข้าไปในลานบ้านของมหาสมณะพร้อมกับพระเยซูเจ้า

16ส่วนเปโตรยืนอยู่ข้างนอก หน้าประตู ศิษย์อีกผู้หนึ่งที่รู้จักมหาสมณะนั้น ได้ออกมาพูดกับหญิงเฝ้าประตู แล้วพาเปโตรเข้าไปด้วย

17หญิงเฝ้าประตูพูดกับเปโตรว่า “ท่านด้วย ไม่ใช่ศิษย์ของชายผู้นี้หรือ?” เปโตรตอบว่า “ไม่ใช่”

18บรรดาผู้รับใช้และยามได้นำถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วยืนผิงไฟกันที่นั่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับเขาด้วย

19มหาสมณะได้ซักถามพระเยซูเจ้าถึงเรื่องศิษย์ และคำสั่งสอนของพระองค์

20พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เราได้กล่าวให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราได้สั่งสอนเสมอในศาลาธรรม และในพระวิหารซึ่งชาวยิวทุกคนมาชุมนุมกัน เราไม่เคยกล่าวสิ่งใดเป็นความลับ

21ท่านถามเราทำไม? จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่าเราได้กล่าวอะไรกับเขา เขารู้ว่าเราได้พูดอะไร

22เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ ยามคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นได้ตบพระพักตร์พระเยซูเจ้า ตวาดว่า “เจ้าตอบเช่นนี้แก่มหาสมณะได้หรือ?”

23พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่า เราผิดอย่างไร แต่ถ้าเราพูดถูกแล้ว ท่านตบหน้าเราทำไม?”

24อันนาสจึงส่งพระองค์ ซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปหามหาสมณะคายาฟาสc

25ขณะนั้นซีโมน เปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ด้วยจึงถามเขาว่า “ท่านไม่ใช่ศิษย์ของเขาด้วยหรือ?” เปโตรปฏิเสธว่า “ไม่ใช่”

26ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะเป็นญาติกับคนซึ่งเปโตรได้ฟันใบหูขาดพูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นท่านอยู่ในสวนกับเขามิใช่หรือ?”

27เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และทันใดนั้น ไก่ก็ขัน

 

ปิลาตไต่สวนพระเยซูเจ้า

28เขาเหล่านั้นได้นำพระเยซูเจ้าจากบ้านของคายาฟาสไปยังจวนผู้ว่าราชการd ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ คนเหล่านั้นไม่ได้เข้าไปในจวน เพื่อมิให้เป็นมลทินแก่ตนe จึงจะกินปัสกาได้

29ปิลาตจึงออกมาพบเขาข้างนอก กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายมีข้อกล่าวหาอะไรมาฟ้องชายคนนี้?” เขาตอบว่า

30“ถ้าคนนี้ไม่ใช่ผู้ร้ายแล้ว เราคงไม่นำมามอบให้ท่าน”

31ปิลาตกล่าวกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงเอาเขาไปพิพากษากันเองตามกฎหมายของท่านเถิด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราไม่มีอำนาจประหารชีวิตผู้ใดได้f 32ดังนี้ พระวาจาของพระเยซูเจ้าจึงเป็นความจริงตามที่ได้ตรัสไว้ล่วงหน้าว่า พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์อย่างไร
33ปิลาตจึงกลับเข้าไปในจวน และเรียกพระเยซูเจ้ามาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”

34พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา?”

35ปิลาตตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิวหรือ? ชนชาติของท่านเอง และบรรดาหัวหน้าสมณะได้มอบท่านแก่ข้าพเจ้า ท่านได้ทำผิดอะไร?”

36พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้แล้ว ผู้รับใช้ของเราก็คงจะต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบแก่ชาวยิว แต่อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้”

37ปิลาตจึงถามพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นกษัตริย์นะซิ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เราเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ เรามาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา”

38ปิลาตจึงกล่าวว่า “ความจริงคืออะไร?” พูดดังนี้แล้ว เขาก็กลับออกมาหาชาวยิวข้างนอกอีก กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่พบข้อกล่าวหาอะไรปรักปรำชายผู้นี้ได้

39แต่ท่านทั้งหลายมีธรรมเนียมให้ปล่อยนักโทษคนหนึ่งในเทศกาลปัสกา ท่านทั้งหลายต้องการให้ข้าพเจ้าปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”

40เขาเหล่านั้นจึงร้องตะโกนอีกว่า “อย่าปล่อยคนนี้ แต่จงปล่อยบารับบาส” บารับบาสผู้นี้เป็นโจร

 

บทที่19

19 1ปิลาตได้สั่งให้นำพระเยซูเจ้าไปเฆี่ยนa

2บรรดาทหารได้เอาหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร ให้พระองค์ทรงเสื้อคลุมสีแดง

3เข้ามาหาพระองค์และกล่าวว่า “กษัตริย์ของชาวยิว! ขอทรงพระเจริญ” แล้วตบพระพักตร์พระองค์

4ปิลาตออกมาข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ดูเถิด เรานำชายผู้นี้ออกมาให้ท่านรู้ว่าเราไม่พบว่าเขามีความผิดประการใด” 5แล้วพระเยซูเจ้าเสด็จออกมาข้างนอก ทรงมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีแดง ปิลาตกล่าวกับเขาว่า “นี่แหละ คนคนนั้น” 6เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและยามรักษาพระวิหารเห็นพระองค์ก็ร้องตะโกนว่า “เอาไปตรึงกางเขน! เอาไปตรึงกางเขน!” ปิลาตกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย จงนำเขาไปตรึงกางเขนกันเองเถิด เพราะเราไม่พบว่าเขามีความผิดประการใด

7ชาวยิวตอบว่า “พวกเรามีกฎหมายและตามกฎหมายนั้น เขาต้องตาย เพราะได้ตั้งตนเป็นบุตรของพระเจ้า”

8เมื่อปิลาตได้ยินถ้อยคำนี้ ก็มีความกลัวยิ่งขึ้น

9จึงเข้าไปในจวนอีก ถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านมาจากไหน?”b พระเยซูเจ้าไม่ตรัสตอบแต่ประการใด

10ปิลาตจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “ท่านไม่อยากพูดกับเราหรือ?? ท่านไม่รู้หรือว่า เรามีอำนาจจะปล่อยท่านก็ได้ จะตรึงกางเขนท่านก็ได้

11พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านไม่มีอำนาจใดเหนือเราเลย ถ้าท่านมิได้รับอำนาจนั้นมาจากเบื้องบน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้มอบเราแก่ท่านก็มีบาปมากกว่า”c

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกตัดสินประหารชีวิต

12ตั้งแต่เวลานั้น ปิลาตพยายามหาทางปล่อยพระองค์ ชาวยิวร้องตะโกนว่า “ถ้าท่านปล่อยผู้นี้ไป ท่านก็ไม่เป็นมิตรของพระจักรพรรดิ ผู้ใดตั้งตนเป็นกษัตริย์ ก็เป็นศัตรูของพระจักรพรรดิ”

13เมื่อปิลาตได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ได้สั่งให้นำพระเยซูเจ้าออกมาข้างนอก ให้พระองค์นั่งบนบัลลังก์พิพากษาในสถานที่ที่เรียกว่า “ลานศิลา” ภาษาฮีบรูว่า กับบาธาd

14วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองปัสกาeเวลาประมาณเที่ยงวันf ปิลาตกล่าวแก่ชาวยิวว่า “นี่แหละกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย”

15เขาเหล่านั้นร้องตะโกนว่าg “เอาไป เอาไปตรึงกางเขน” ปิลาตถามเขาว่า “จะให้เราตรึงกางเขนกษัตริย์ของท่านหรือ?” บรรดาหัวหน้าสมณะตอบว่า “พวกเราไม่มีกษัตริย์อื่น นอกจากพระจักรพรรดิ”

16ปิลาตจึงได้มอบพระองค์ให้เขาเหล่านั้นนำไปตรึงกางเขน

 

พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน

บรรดาทหารได้นำพระเยซูเจ้าไปประหารh

17พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานที่ที่เรียกว่า “เนินหัวกระโหลก” ภาษาฮีบรูว่า “กลโกธา”

18เขาได้ตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่น พร้อมกับนักโทษอีกสองคน อยู่คนละข้าง พระเยซูเจ้าทรงอยู่ตรงกลาง

19ปิลาตได้เขียนป้ายประกาศติดไว้บนไม้กางเขนเป็นข้อความว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว”

20ชาวยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายประกาศนี้เพราะสถานที่ที่พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงนั้นอยู่ใกล้กรุงและป้ายประกาศนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ลาติน และกรีก

21บรรดาหัวหน้าสมณะของชาวยิวจึงกล่าวกับปิลาตว่า ‘อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่จงเขียนว่าคนนี้ได้กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว’

22ปิลาตตอบว่า “เขียนแล้ว ก็แล้วไปเถอะ”

 

ทหารแบ่งฉลองพระองค์

23เมื่อบรรดาทหารได้ตรึงพระเยซูเจ้าแล้ว ก็ได้นำฉลองพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วน เอาไปคนละส่วน ส่วนเสื้อยาวของพระองค์นั้นไม่มีตะเข็บi ทอเป็นผืนเดียวตลอดตั้งแต่คอจนถึงชายเสื้อ

24เขาจึงพูดกันว่า “เราอย่าแบ่งเสื้อตัวนี้เลย เราจับฉลากกันเถิด ดูว่าใครจะได้” ดังนี้ พระคัมภีร์ก็เป็นความจริง ที่ว่าพวกเขานำเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งกันและจับสลากเสื้อยาวของข้าพเจ้าบรรดาทหารก็ได้ทำเช่นนี้

 

พระเยซูเจ้ากับพระมารดา
25พระมารดาของพระเยซูเจ้าประทับjยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระองค์พร้อมน้องสาวของพระนางk มารีย์ภรรยาของโคลปัส และมารีย์ชาวมักดาลา

26เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงตรัสแก่พระมารดาว่า “คุณแม่ นี่คือลูกของคุณแม่”

27แล้วตรัสแก่ศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือคุณแม่ของท่าน”l ตั้งแต่เวลานั้น ศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางเป็นมารดาของตน

 

พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์

28หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่า ทุกสิ่งได้สำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย”
พระคัมภีร์ตอนนี้จึงเป็นความจริงด้วย

29ที่นั่นมีภาชนะใบหนึ่งบรรจุน้ำส้มเต็มวางอยู่ ทหารจึงเอาฟองน้ำชุบน้ำส้มเสียบปลายกิ่งหุสบm ยื่นถึงพระโอษฐ์

30เมื่อพระเยซูเจ้าทรงจิบน้ำส้มแล้ว ได้ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว”n พระองค์ทรงเอนพระเศียรลง แล้วสิ้นพระชนม์o

 

ทหารแทงด้านข้างพระวรกายของพระเยซูเจ้า

31วันนั้น เป็นวันเตรียมฉลอง ชาวยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสับบาโต เพราะวันสับบาโตวันนั้นเป็นวันฉลองยิ่งใหญ่ เขาจึงขออนุญาตปิลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึงpและนำศพไป

32บรรดาทหารได้ทุบขาคนทั้งสองซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ 33เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าก็เห็นqว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมิได้ทุบขาของพระองค์ 3

4แต่ทหารคนหนึ่งได้เอาหอกแทงด้านข้างพระวรกายของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกมาrทันที 35ผู้ที่ได้เห็นsก็เป็นพยาน คำพยานของเขาน่าเชื่อถือ เขาtรู้ว่าเขาพูดความจริง –เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อด้วย

36เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อข้อความในพระคัมภีร์เป็นความจริงว่า

กระดูกของเขาจะไม่หักสักชิ้นเดียวu

37และข้อความอีกตอนหนึ่งที่ว่า

เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาได้แทงv

การฝังพระศพ
38หลังจากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธีย ซึ่งเป็นศิษย์ลับๆคนหนึ่งของพระเยซูเจ้า เพราะกลัวชาวยิว ได้ขออนุญาตปิลาตอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าลง ปิลาตก็อนุญาต เขาwจึงได้มาอัญเชิญพระศพลง 39นิโคเดมัสซึ่งก่อนนั้นเคยมาเฝ้าพระองค์เวลากลางคืน ก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมผสมมา คือมดยอบและว่านหางจระเข้หนักประมาณหนึ่งร้อยปอนด์ 40ทั้งสองได้อัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้า เอาผ้าพันพระศพพร้อมกับใส่เครื่องหอมตามประเพณีฝังศพของชาวยิว 41ในสถานที่ที่พระองค์ทรงถูกตรึงนั้น มีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนี้มีคูหาขุดใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ฝังผู้ใดเลย 42เขาจึงอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้าบรรจุไว้ที่นั่น เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมฉลองของชาวยิว และคูหาอยู่ใกล้

 

ค: วันกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า

พระคูหาว่างเปล่า

บทที่ 20
20 1เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์aขณะที่ยังมืดอยู่ มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว

2นางจึงวิ่งไปหาซีโมน เปโตร กับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักกล่าวว่า “เขาได้นำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน”

3เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา

4ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน

5เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างในb

6ซีโมน เปโตรซึ่งตามไปติดๆก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น

7รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง

8แล้วศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อน ก็เข้าไปข้างในด้วย เขาได้เห็นและมีความเชื่อ

9เพราะเขาทั้งหลายยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์cที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย

10หลังจากนั้น ศิษย์ทั้งสองก็กลับไปบ้าน

 

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลา

11มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา

12ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาว นั่งอยู่ ตรงที่ที่เขาได้วางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท

13ทูตสวรรค์ทั้งสองถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” นางตอบว่า “เขาได้นำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ฉันไม่ทราบว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน”

14เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันหลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าประทับยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระเยซูเจ้า

15พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? กำลังแสวงหาใคร?” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านได้นำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา”

16พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์! นางจึงหันไปd ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับบูนี!e –ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์

17พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลยf เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเราg และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเราhและพระบิดของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย”

18มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และได้เล่าเรื่องที่พระองค์ได้ตรัสแก่นาง

 

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์

19ค่ำวันนั้น ซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันปิดอยู่iเพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”

20ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกายแก่บรรดาศิษย์ เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี

21พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น”

22ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมjเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด

23ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย”

24โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา

25ศิษย์คนอื่นkบอกเขาว่า “พวกเราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด”

26แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย ทั้งๆที่ประตูปิดอยู่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”

27แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเราเถิดl อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด”

28โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า!”

29พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะว่าได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อmแม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”

 

ง: บทสรุปครั้งแรก

30พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้

31เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตเดชะพระนามของพระองค์

ง: บทส่งท้ายa
ก:พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์ที่ฝั่งทะเลสาบทีเบเรียส

21 1หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ฝั่งทะเลสาบทีเบเรียส เรื่องราวเป็นดังนี้ 2ศิษย์บางคนกำลังอยู่ด้วยกัน คือซีโมน เปโตร กับโทมัสที่เรียกกันว่า “ฝาแฝด” นาธานาเอล ซึ่งมาจากหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองคนของเศเบดีและศิษย์อีกสองคน

3ซีโมน เปโตรบอกคนอื่นว่า “ข้าพเจ้าจะไปจับปลา” ศิษย์คนอื่นตอบว่า “พวกเราจะไปกับท่านด้วย” เขาทั้งหลายไปออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นทั้งคืนเขาจับปลาไม่ได้เลย

4พอรุ่งสาง พระเยซูเจ้าประทับยืนอยู่บนฝั่ง แต่บรรดาศิษย์ไม่ทราบว่าเป็นพระเยซูเจ้า

5พระเยซูเจ้าทรงร้องถามว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างไหม?” เขาตอบว่า “ไม่มี” 6พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบเรือด้านขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จึงได้เหวี่ยงแหออกไป และดึงขึ้นไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำนวนมากb

7ศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักกล่าวกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านี่” เมื่อซีโมน เปโตรได้ยินว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวม (เพราะเขาไม่ได้สวมเสื้ออยู่) แล้วกระโดดลงไปในทะเล

8ศิษย์คนอื่นได้เข้าฝั่งมากับเรือ และลากแหที่ติดปลาเข้ามาด้วย เพราะอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น
9เมื่อบรรดาศิษย์ขึ้นจากเรือมาบนฝั่ง ก็เห็นไฟถ่านติดอยู่ มีปลาและขนมปังวางอยู่บนไฟ

10พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้างซิ”

11ซีโมน เปโตรจึงลงไปในเรือ แล้วลากแหขึ้นฝั่งc มีปลาตัวใหญ่ติดอยู่เต็ม นับได้หนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แต่ทั้งๆที่ติดปลามากเช่นนั้น แหก็ไม่ขาด

12พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “มากินอาหารกันเถิด” ไม่มีศิษย์คนใดกล้าถามว่า “ท่านเป็นใคร?” เพราะรู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

13พระเยซูเจ้าทรงเข้ามาหยิบขนมปัง แจกให้เขา แล้วทรงเอาปลามาแจกให้เช่นเดียวกัน

14นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์ หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย

15เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมน เปโตรว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้รักเราไหม?” เปโตรทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”

16พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม?” เขาทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลลูกแกะของเราเถิด

17พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สามว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม?” เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้งdว่า “ท่านรักเราไหม?e เขาทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด”f

18เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่มอยู่ ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และเดินไปไหนตามใจชอบ แต่เมื่อท่านจะชรา ท่านจะยื่นมือออก แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน และพาท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป”

19พระเยซูเจ้าได้ตรัสเช่นนี้เพื่อแสดงว่า เปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไรg และเมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด”h

20เปโตรเหลียวไปดู ก็เห็นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักตามมา –เป็นคนที่เอนกายชิดกับพระเยซูเจ้าในการเลี้ยงอาหารค่ำ และทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ผู้ที่ทรยศพระองค์เป็นใคร?”

21เมื่อเปโตรเห็นเขา ก็ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “คนนี้จะเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า?”

22พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมาi ธุระอะไรของท่านเล่า? ท่านจงตามเรามาเถิด”

23เพราะฉะนั้น จึงมีเรื่องที่เล่าลือกันไปทั่วในกลุ่มบรรดาพี่น้องว่า ศิษย์คนนี้จะไม่ตาย แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า “เขาจะไม่ตาย” แต่ได้ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมาj ธุระอะไรของท่านเล่า?”

 

ข: บทสรุปครั้งที่สอง

24นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และได้เขียนบันทึกไว้ พวกเราทราบkว่าคำพยานของเขานั้นเป็นความจริง

25ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown