มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2025 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

     ทุกวันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสตรีสากล หากพี่น้องจำได้ มีหัวหน้ากลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิสตรีคนหนึ่งพูดผ่านสำนักข่าว CNN หลังจากเรื่องราวของนางสาวโมนิกา เลวินสกี้ กับประธานาธิบดีบิล คลินตัน ฉาวโฉ่ขึ้นมาว่า “โมนิกา เลวินสกี้ไม่ผิด เพราะในโลกของธุรกิจและข้าราชการ สตรีที่ต้องการความเจริญก้าวหน้าจำเป็นต้องใช้ทุกสิ่งที่ตนมี ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง เส้นสาย หรือแม้แต่เซ็กซ์”
สรุปว่าหลักการของสตรีกลุ่มนี้ก็คือ “จงใช้สิ่งที่ตนมี เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ” และจริงๆ แล้วก็มีผู้คนจำนวนมากที่นำหลักการนี้ไปใช้เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิตของตน
     แต่พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นในพระวรสารวันนี้ว่าหลักการนี้ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป ยิ่งถ้าเราใช้หลักการนี้โดยไม่ได้วางพระเจ้าไว้เหนือสิ่งอื่นใดแล้วละก็ หลักการนี้ก็จะเป็นเพียงปรัชญาของชาวโลก เป็นปรัชญาของปีศาจ เป็นปรัชญาที่เราควรจะต้องหลีกเลี่ยงและปฏิเสธเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธและเป็นแบบอย่างให้แก่เรา
พระวรสารวันนี้เป็นเรื่องราวของปีศาจที่มาผจญพระเยซูเจ้าในถิ่นทุรกันดารถึง 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกมันให้พระองค์เปลี่ยนก้อนหินเป็นขนมปัง ครั้งที่สองมันให้พระองค์กราบนมัสการมัน และครั้งที่สามมันให้พระองค์กระโจนลงมาจากยอดพระวิหาร
     หากสังเกตให้ดี พี่น้องจะเห็นว่า ทุกครั้งที่ปีศาจมันผจญพระเยซูเจ้า มันกำลังบอกพระองค์ตามปรัชญาของมันว่า “จงใช้สิ่งที่พระองค์มี เพื่อให้ได้สิ่งที่พระองค์ต้องการสิ” แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงปฏิเสธมันทุกครั้ง
การผจญครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากพระเยซูเจ้าจำศีลอดอาหารในถิ่นทุรกันดารสี่สิบวันสี่สิบคืน แน่นอนว่าพระองค์ทรงหิว ปีศาจมันจึงเข้ามาใส่ความคิดให้พระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด” (ลก 4:3)
     ขอให้พี่น้องสังเกตว่า สิ่งแรกที่ปีศาจมันเริ่มหว่านลงไปในความคิดของพระเยซูเจ้าก็คือความสงสัย มันพูดว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า?” ความหมายก็คือ “พระองค์แน่ใจรึว่าพระเจ้าสถิตกับพระองค์?” ในสวนเอเดน ปีศาจมันก็ทำแบบเดียวกัน มันหว่านความสงสัยลงไปในความคิดของเอวาว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวนนี้” (ปฐก 3:1)
เห็นมั้ย ปีศาจมันมักจะเริ่มต้นผจญด้วยการทำให้เราสงสัยก่อนเสมอ แต่พระเยซูเจ้าทรงเอาชนะความสงสัยนี้ด้วยการยึดมั่นอยู่กับพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ตอบโต้ปีศาจทุกครั้งว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า...”ๆๆ
ในบทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลบอกเราว่าสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ก็คือ “พระวาจาซึ่งอยู่ใกล้เรา อยู่ในปากและในใจของเรา”
เพราะฉะนั้น พี่น้องจะปล่อยให้ความสงสัยนี้ดำรงอยู่ในใจของพี่น้อง แล้วก็หันไปฟังปีศาจ แล้วก็พ่ายแพ้มัน หรือพี่น้องจะเอาชนะมันอาศัยพระวาจาของพระเจ้า ซึ่งไม่ได้อยู่ไกลเราเลย แต่อยู่ในปากของเรา อยู่ในใจของเรานี่แหละ ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องเอง
     ข้อสังเกตที่สองก็คือ คนเราจะถูกผจญเฉพาะในสิ่งที่ตัวเราเองต้องการเท่านั้น
     หลังจากจำศีลอดอาหาร พระเยซูเจ้าทรงหิวและต้องการกินอาหาร ปีศาจมันจึงผจญพระองค์เรื่องอาหาร จริงอยู่หากพระองค์จะกินอาหารหลังจำศีลก็ย่อมทำได้ มันไม่ใช่บาป แต่บาปมันอยู่ตรงวิธีการเพื่อให้ได้อาหารมา พระองค์ควรจะใช้วิธีการปกติเหมือนผู้คนทั่วไป คือทำมาหากิน หรือจะใช้หนทางลัดอย่างที่ปีศาจมันเสนอ คือเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังซึ่งเป็นการใช้ฤทธิ์อำนาจที่พระองค์มีอย่างเห็นแก่ตัวดีล่ะ? ถ้าเป็นพี่น้อง พี่น้องจะเลือกวิธีไหน?
สำหรับพระเยซูเจ้า ไม่มีทางที่พระองค์จะเลือกวิธีการของปีศาจ เราก็เช่นกัน วิธีที่เราควรเลือกใช้เพื่อให้ได้อาหารหรือสิ่งที่เราต้องการนั้น จะต้องสอดคล้องกับพระวาจาของพระเจ้า ดังที่พระเยซูเจ้าเองก็ตรัสว่า “มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มธ 4:4)
     ในการผจญครั้งที่สอง ปีศาจมันแสดงให้พระองค์เห็นอาณาจักรต่างๆ ทั้งหมดในโลก แล้วสัญญาว่าจะมอบอำนาจเหนืออาณาจักรเหล่านี้ให้แก่พระองค์หากพระองค์ยอมกราบนมัสการมัน
เราต้องไม่ลืมว่าพระเยซูเจ้ากำลังจะเริ่มต้นภารกิจของพระองค์ และกำลังมุ่งมั่นหาวิธีการที่จะนำโลกให้มารู้จักและยอมรับข่าวดีของพระองค์ ปีศาจมันจึงผจญพระองค์ตามปรัชญาของมัน คือให้พระองค์ใช้ความมุ่งมั่นที่พระองค์มี เพื่อให้ได้สิ่งที่พระองค์ต้องการสิ และก็เหมือนเดิม พระองค์ปฏิเสธ เพราะถึงแม้ว่าวัตถุประสงค์จะดี แต่วิธีการมันผิด จะให้พระองค์กราบนมัสการปีศาจได้อย่างไรกันในเมื่อ “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น’” (ลก 4:8)
     ส่วนการผจญครั้งที่สามนั้น ปีศาจมันขอให้พระเยซูเจ้ากระโจนลงมาจากยอดพระวิหารเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
อย่าลืมอีกเช่นกันว่าพระเยซูเจ้าเองก็ต้องการให้ประชาชนเชื่อว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าและเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมาจริงๆ แต่จะใช้วิธีใดดีล่ะ? ปีศาจมันจึงแนะนำให้พระองค์กระโดดลงมาจากยอดพระวิหารโดยไม่ต้องใช้ร่มชูชีพ ซึ่งก็เป็นปรัชญาเดิมๆ ของมันอีกนั่นแหละ คือให้พระองค์ใช้อำนาจเหนือธรรมชาติที่พระองค์มี เพื่อให้ได้สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการทำให้ประชาชนเชื่อว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์และเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง
และก็เหมือนเดิม พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธวิธีการของปีศาจ เพราะว่ามันเป็นวิธีที่ใช้ความโลดโผนตื่นเต้นมาปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนซึ่งคงอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น วันแรกๆ อาจจะดูตื่นเต้น แต่วันต่อๆ ไปก็จะลดน้อยถอยลง แล้วจะหาความมั่นคงได้อย่างไรกัน อีกทั้งยังเป็นการทดลองพระเจ้าว่าจะมีฤทธิ์อำนาจจริงหรือเปล่า พระองค์จะทรงรักและช่วยเหลือเราจริงมั้ย? ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านเลย’” (ลก 4:12)
    เพราะฉะนั้น หากเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหลือเพียง 2 ทางให้เราเลือก และในการเลือกนั้น เราต้องยอมเสียบางสิ่งบางอย่างไปเพื่อที่จะได้บางสิ่งบางอย่างมา เข้าตำราได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นในพระวรสารวันนี้ว่า เราจะยอมเสียความเชื่อในพระเจ้าไม่ได้เด็ดขาด
     พี่น้องครับ เราจะยอมเสียความเชื่อและละทิ้งพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์มิได้เพียงช่วยชาวยิวให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ดังที่โมเสสสั่งชาวยิวให้ถวายพืชผลแรกเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในอดีตเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของบาปและกลับมาเป็นบุตรของพระองค์อีกด้วย
     และสุดท้ายนี้ ขอพี่น้องอย่าได้ลืมคำของนักบุญเปาโลในบทอ่านที่สองวันนี้ที่ว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า ทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย” เลย
เพราะฉะนั้น พี่น้องอย่ายอมเสียความเชื่อและละทิ้งพระเจ้าเป็นอันขาด

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown