บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2024 สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 676
พี่น้องครับ ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกโยบในบทอ่านที่หนึ่งว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดทะเล และตรัสกับทะเลว่า “เจ้ามาได้ไกลแค่นี้ อย่าเลยไปอีก คลื่นคะนองของเจ้าจะหยุดเพียงแค่นี้”
แต่ทำไมในพระวรสารวันนี้ เมื่อบรรดาศิษย์ปลุกพระเยซูเจ้าให้ลุกขึ้นมาเพื่อช่วยพวกเขาเพราะเรือที่พวกเขานั่งมากำลังจะจมลงก้นทะเล ทำไมพระองค์จึงตำหนิพวกเขาว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ” ก็พวกเขาน่าจะต้องวิ่งเข้าหาพระองค์ในยามเดือดร้อนเช่นนี้มิใช่หรือ? นี่ไม่ได้แสดงว่าพวกเขาเชื่อและวางใจในพระองค์ดอกหรือ? ก็พระองค์ตรัสไว้ว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน” (มธ 11:28) ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพระองค์ต้องตำหนิบรรดาศิษย์ที่กำลังตื่นตกใจกลัวและต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ด้วยล่ะ?
เพื่อจะเข้าใจว่าทำไมพระองค์จึงทรงตำหนิบรรดาศิษย์ เราต้องย้อนกลับไปดูสถานการณ์ของคริสตชนยุคเริ่มแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาระโกเขียนพระวรสาร
ขณะนั้นคริสตชนกำลังถูกเบียดเบียน ทุกคนตกใจกลัว พระศาสนจักรเป็นเสมือนเรือที่กำลังเผชิญกับพายุแรงกล้าจวนจะจมเพราะคลื่นที่ซัดถาโถมเข้ามา แม้พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่กับพระศาสนจักรตลอดไป แต่พระองค์ก็ไม่ทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาเพื่อทำให้วิกฤติการณ์จบสิ้นลง และแม้พระองค์ทรงสัญญาว่าประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักร แต่พวกเขาก็ถูกฆ่าตายแทบจะหนึ่งในสิบราย
เมื่อสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ บรรดาคริสตชนยุคเริ่มแรกสวดภาวนาก็จริง แต่พวกเขาสวดภาวนา ไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในพระเยซูเจ้า แต่สวดแบบน้อยใจที่พระองค์ทอดพระเนตรลงมาแล้วไม่ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือพวกเขาที่กำลังจะตายเลย ดูเหมือนพระองค์จะมัวแต่นอนหลับอยู่ในนาวาของเปโตร พวกเขาจึงสวดภาวนาเพื่อจะปลุกพระองค์ให้ตื่นขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ มาระโกจึงเขียนพระวรสารเพื่อจะสอนบรรดาคริสตชนว่า การที่พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้น บังคับลมให้สงบและทำให้ทะเลราบเรียบอย่างยิ่งนั้น แสดงว่าคำภาวนาของพวกเขาไม่สูญเปล่า พวกเขาจำเป็นต้องสวดภาวนา วิกฤตยิ่งมากเท่าใด ความเชื่อของพวกเขาก็ยิ่งต้องมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
สำหรับพระองค์ ผู้ที่มีความเชื่อขั้นสุดยอดก็คือบรรดาศิษย์ที่ปล่อยให้พระองค์บรรทมหลับท่ามกลางพายุแรงกล้าแม้พวกเขาจะต้องจมลงก้นทะเลพร้อมกับพระองค์ก็ตาม นี่เป็นความเชื่อขั้นสุดยอดเช่นเดียวกับบรรดามรณสักขี ซึ่งแม้จะต้องการให้พระองค์ช่วย แต่ก็พร้อมจะตายพร้อมกับพระองค์หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ ดังตัวอย่างเช่น ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ที่กราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า
“ข้าแต่พระราชา ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้นพระอานุภาพของพระองค์ได้ แม้พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงช่วย ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงทราบเถิดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ และจะไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น” (ดนล 3:17-18)
พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าทรงพร้อมเสมอที่จะลุกขึ้นและช่วยเหลือเรา เพียงแต่เราต้องถามตนเองว่า เราพร้อมที่จะเชื่อว่ามีดวงอาทิตย์ยามค่ำคืนที่มันไม่ส่องแสงหรือไม่ นั่นคือเราต้องเชื่อมั่นในพระองค์ ปล่อยให้พระองค์บรรทมหลับในเรือ และเราก็ทำตัวเป็นหมอนให้พระองค์หนุนนอนท้ายเรือ
เหตุที่เราต้องสวดภาวนาด้วยความเชื่อมั่นในพระองค์ ก็เป็นไปดังที่นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สอง นั่นคือความรักของพระเยซูเจ้าผลักดันเรา พระองค์สิ้นพระชนม์แทนเราทุกคน เพื่อเราจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเรา พระองค์ทรงทำให้เราเป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าของเราผ่านพ้นไปแล้ว และอย่าลืมว่าสภาพใหม่ในตัวเราเกิดขึ้นแล้ว