มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา

     ที่ผ่านมาเราได้เห็นฤทธิ์เดชของไวรัสโควิด มันทำให้ผู้คนมากมายเสียชีวิต ธุรกิจพากันล้มละลาย เศรษฐกิจย่ำแย่ หลายคนรู้สึกท้อแท้หมดหวัง แต่แบบอย่างของหญิงม่ายในพระวรสารวันนี้สอนให้เรารู้ว่า สำหรับคนที่มีความเชื่อแล้ว ไม่มีสถานการณ์ใดที่สิ้นหวัง มีก็แต่คนเราเท่านั้นแหละที่สิ้นหวังกับสถานการณ์ของตน
     ในสังคมของชาวยิวในสมัยก่อนนั้น ชีวิตของผู้หญิงต้องขึ้นอยู่กับสามีในทุกด้าน หากสูญเสียสามีก็เท่ากับว่านางสูญเสียทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือผู้ปกป้องคุ้มครอง ยิ่งถ้านางไม่มีบุตรด้วยแล้วก็จะยิ่งเข้าใกล้สถานการณ์สิ้นหวังที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะประสบได้ทันที พระเจ้าจึงทรงเอาพระทัยใส่พวกนางเป็นพิเศษถึงกับตรัสสั่งว่า “ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้า ถ้าท่านข่มเหงเขา เขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราจะฟังเสียงร้องขอของเขาอย่างแน่นอน เราจะโกรธมาก และจะฆ่าท่านให้ตายในสงคราม” (อพย 22:21-23)
     ความยิ่งใหญ่ของหญิงม่ายในพระวรสารวันนี้อยู่ที่นางไม่ยอมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดขี่ ถูกรังแก และไม่ได้รับความยุติธรรมจากคู่ความของนาง อาจมีบางคนปลอบใจนางทำนองว่า “สังคมมันก็เป็นอย่างนี้แหละ” หรืออาจมีสตรีใจศรัทธาแต่ไม่กล้าหาญบางคนแนะนำนางให้ยอมรับการกดขี่ว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แต่คำปลอบใจทำนองนี้ใช้กับนางไม่ได้ นางไม่สิ้นหวังในความยุติธรรม นางทำให้ความหวังของนางลุกโชติช่วงอยู่เสมอ และนางก็พยายามทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา จนในที่สุด ความมุ่งมั่นและความพากเพียรของนางก็ได้รับการตอบสนอง
จะเห็นว่าไม่มีสถานการณ์ใดที่สิ้นหวัง มีก็แต่คนเท่านั้นแหละที่ค่อยๆ สิ้นหวังกับสถานการณ์ของตนเอง
     พี่น้องครับ คริสตชนยุคเริ่มแรกก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นกัน หลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ พวกเขาก็ถูกกดขี่เบียดเบียนโดยผู้นำทางศาสนาของชาวยิว สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาอดทนต่อการเบียดเบียนได้ก็คือความเชื่อว่าพระองค์จะเสด็จกลับมารับพวกเขาไปอยู่กับพระองค์โดยเร็ว แต่เมื่อพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปี 70 ซึ่งพวกเขาคิดว่าเป็นวันสิ้นโลก พระองค์ก็ยังไม่เสด็จกลับมารับพวกเขาไปสักที เกิดวิกฤตความเชื่ออย่างใหญ่หลวงท่ามกลางพวกเขา ตกลงความหวังของพวกเขาเป็นหมันมั้ย? พระองค์จะเสด็จมากอบกู้ความยุติธรรมให้พวกเขาและลงโทษพวกศัตรูให้สิ้นซากจริงๆ หรือ? พวกเขาควรจะหวังและอดทนต่อไปหรือจะหันไปเข้าพวกกับบรรดาศัตรูซึ่งพวกเขาไม่มีทางจะเอาชนะได้ดี?
พูดง่ายๆ ก็คือบรรดาคริสตชนยุคเริ่มแรกก็ตกอยู่ในสถาน การณ์เดียวกันกับหญิงม่ายในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าจึงลงท้ายพระวรสารวันนี้เพื่อเป็นการยืนยันและตอบข้อสงสัยของพวกเขา และในเวลาเดียวกันก็ตอบความสงสัยของพวกเราด้วยว่า “แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ
     ความหมายของพระองค์ก็คือ เพื่อจะได้รับความยุติธรรม ตลอดจนทุกสิ่งที่เราคาดหวัง เรา “จำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย”
พร้อมกันนี้พระองค์ก็ทรงตั้งคำถามกลับมาที่พวกเราว่า “แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้หรือ”
นั่นก็คือ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา จะพบเรายังอธิษฐานภาวนากันอยู่อีกหรือ?
     การอธิษฐานภาวนานี่แหละคือเครื่องแสดงออกถึงความหวังของเรา และในเวลาเดียวกันก็ช่วยหล่อเลี้ยงความเชื่อของเราให้เข้มแข็งด้วย
นอกจากการอธิษฐานภาวนาแล้ว นักบุญเปาโลยังเสริมในบทอ่านที่สองวันนี้อีกว่า เพื่อจะรักษาความเชื่อของเราไว้ให้มั่นคง เราจำเป็นต้องทั้งเรียนทั้งสอน นักบุญเปาโลกล่าวว่า “จงมั่นคงในคำสอนที่ท่านได้เรียน และ “จงประกาศพระวาจาทั้งเมื่อมีโอกาสและเมื่อไม่มีโอกาส”
     สิ่งที่เราต้องเรียนและต้องสอนก็คือพระคัมภีร์ นักบุญเปาโลบอกว่า “ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์เพื่อสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไข และอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม คนของพระเจ้าจะได้เตรียมพร้อมและพร้อมสรรพเพื่อกิจการดีทุกอย่าง” (2 ทธ 3:16-17)
     ที่ผ่านมาเราเคยคิดกันว่าพระสงฆ์และนักบวชมีหน้าที่สอน ส่วนฆราวาสมีหน้าที่เรียน เราจึงพบฆราวาสจำนวนมากที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์แต่ไม่เคยคิดที่จะสอนหรือแบ่งปันพระวาจาของพระเจ้าให้แก่ผู้อื่น และในเวลาเดียวกันก็มีพระสงฆ์และนักบวชจำนวนมากที่ทุ่มเทสอนทั้งชีวิตแต่ก็ลืมไปว่าตนเองก็ต้องศึกษาเล่าเรียนพระวาจาของพระเจ้าในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเราไม่รู้พระคัมภีร์ เราก็จะไม่รู้จักพระเยซูเจ้า ดังที่นักบุญเยโรมบอกไว้
และในการสอนหรือประกาศพระวาจาของพระเจ้านั้น เราต้องไม่ลืมคำพูดของนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีที่ว่า “จงประกาศข่าวดีทุกเวลา จงพูดเท่าที่จำเป็น” นั่นก็คือเราต้องประกาศข่าวดีด้วยการดำเนินชีวิตของเรา ไม่ใช่ด้วยปากของเรา มีก็แต่ชีวิตของเราเท่านั้นที่เป็นข่าวดีที่เพื่อนบ้านของเราสามารถมองเห็นและอ่านได้
     เพราะฉะนั้น ในบูชามิสซาวันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดให้เรารักษาความเชื่อและความหวังของเราไว้ให้มั่นคงด้วยการ “อธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย” และโปรดให้ชีวิตของเราก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการหมั่นศึกษาเรียนรู้ข่าวดีในพระคัมภีร์ และดำเนินชีวิตชนิดที่ทำให้เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน และทุกคนสามารถมองเห็นข่าวดีของพระองค์ในตัวเราด้วยเทอญ

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown