บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ สมโภชปัสกา ปี C
- รายละเอียด
- หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
- ฮิต: 532
สุขสันต์วันปัสกาแด่พี่น้องที่รักทุกท่าน
ทุกวันนี้ โลกของเราเต็มไปด้วยคำสัญญามากมายจริงๆ นักการเมืองแต่ละพรรคต่างก็ให้คำสัญญานั่นคำสัญญานี่ โฆษณาในสื่อต่างๆ ก็ให้คำสัญญาเช่นกัน พวกเขาบอกว่าเราจะเป็นสุข เราจะร่ำรวย จะมีชื่อเสียง จะสวย จะดูอ่อนกว่าวัย 10-20 ปีถ้าเราซื้อสินค้าหรือใช้บริการตามที่พวกเขาโฆษณา แต่ไม่นานเราก็รู้ว่าถูกหลอก เพราะคำสัญญาที่โลกหยิบยื่นให้มักจะมีแต่ “ความว่างเปล่า” คือมันไม่เกิดขึ้นจริง
ตรงกันข้าม วันปัสกานี้ซึ่งดูเหมือนจะมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นกางเขนที่ว่างเปล่า พระคูหาก็ว่างเปล่า หรือแม้แต่ผ้าพันพระศพก็ว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่าเหล่านี้กลับเต็มไปด้วย “คำสัญญามากมายของพระเจ้า” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความจริง
เรามาดูกันว่าพระเจ้าทรงสัญญาอะไรบ้างผ่านทางความว่างเปล่าที่เราได้ฟังโอกาสปัสกานี้
ประการแรก “กางเขนว่างเปล่า”
นอกกรุงเยรูซาเล็ม บนเนินเขาหัวกะโหลก มีกางเขน 3 อัน หากเรามองกางเขนอันกลางด้านบนก็จะเห็นรอยเลือดจากศีรษะที่ถูกมงกุฎหนามกดลงไป ที่ปลายกางเขนสองข้างเราก็จะเห็นรอยเลือดจากมือที่ถูกตอกตะปู และที่เสากางเขนก็เต็มไปด้วยเลือดจากแผ่นหลังของพระองค์ที่ถูกเฆี่ยนด้วยแส้และจากสีข้างที่ถูกแทงด้วยหอกเพื่อให้แน่ใจว่าพระองค์ตายจริง
แต่วันนี้กางเขนว่างเปล่า ไม่มีร่างของพระเยซูเจ้าอีกแล้ว แต่กลับมีคำสัญญาของพระเจ้าซึ่งเต็มไปด้วยความหวังสำหรับเราแทนที่
คำสัญญานี้ก็คือบาปของเราได้รับการอภัยแล้ว บนกางเขนนี้เอง พระเยซูเจ้าทรงไถ่โทษบาปสำหรับเราทุกคนแล้ว
นักบุญเปาโลบอกเราในจดหมายถึงชาวโรมว่ามนุษย์ทุกคนกระทำบาป (3:23) ผู้ที่ประพฤติเช่นนี้สมควรจะต้องตาย (1:32) เพราะค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย (6:23)
เพราะฉะนั้น เราทุกคนสมควรต้องรับโทษจากพระเจ้า เราสมควรต้องตายตลอดนิรันดร ในนรก !
แต่นักบุญเปาโล (2 คร 1:10) บอกเราอีกเช่นกันว่า “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากอันตรายยิ่งใหญ่ที่จะต้องตาย” ทั้งนี้ก็โดยอาศัยกางเขนที่ว่างเปล่าวันปัสกานี้เอง
และขอย้ำว่ามีแต่พระองค์เท่านั้นที่นักบุญเปโตรกล้าประกาศต่อหน้าสภาสูงว่า นอกจากพระองค์แล้ว “ไม่มีผู้ใดช่วยให้เรารอดพ้นได้อีกแล้ว เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้” (กจ 4:12)
ดังนั้น ทุกครั้งที่เรามองกางเขน เราควรระลึกถึงคำสัญญาของพระเจ้าอยู่เสมอ ว่าเราได้รับการยกโทษบาปแล้ว โลหิตของพระเยซูเจ้าที่หลั่งออกมาบนไม้กางเขนได้ช่วยเราให้รอดพ้นแล้ว
ประการที่สอง “พระคูหาว่างเปล่า”
ตั้งแต่เช้าตรู่วันปัสกา บรรดาสตรีใจศรัทธาไปที่พระคูหาเพื่อจะชโลมพระศพของพระเยซูเจ้า แต่พบว่าพระคูหาว่างเปล่า ไม่มีพระศพของพระองค์ มีเพียงทูตสวรรค์ที่ปรากฏมาพูดกับพวกนางว่า “ทำไมท่านมองหาผู้เป็นในหมู่ผู้ตายเล่า พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว” (ลก 24:5-6)
คำสัญญาที่ได้จากพระคูหาว่างเปล่าก็คือ พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพฉันใด เราทุกคนที่รู้จักและเชื่อพระองค์ แม้ตายไปแล้วก็จะกลับคืนชีพและมีชีวิตนิรันดรเช่นเดียวกับพระองค์ฉันนั้น เพราะว่า “ความตายถูกชัยชนะกลืนแล้ว” (1คร 15:54) และผู้ชนะก็คือพระเยซูเจ้า
ประการที่สาม “ผ้าพันพระศพว่างเปล่า”
เมื่อบรรดาสตรีใจศรัทธากลับจากพระคูหาไปบอกนักบุญเปโตรและนักบุญยอห์น ทั้งสองรีบวิ่งมาที่พระคูหาและพบว่า นอกจากพระคูหาจะว่างเปล่าแล้ว ผ้าพันพระศพก็ว่างเปล่าด้วย
แน่นอนว่าคงไม่มีอัครสาวกคนใดขโมยพระศพไปซ่อนโดยรื้อผ้าพันพระศพทิ้งไว้ เพื่อจะได้หลอกลวงผู้คนว่าพระองค์กลับเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว
แต่ผ้าพันพระศพว่างเปล่าบ่งบอกว่าพระองค์ทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตายจริง พระองค์ยังทรงพระชนมชีพอยู่ พระคัมภีร์เล่าว่าพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลา แก่บรรดาอัครสาวก และแก่บรรดาศิษย์อีกมากกว่า 500 คน
พระองค์ทรงประทับนั่งกับพวกเขา เดินกับพวกเขา สนทนากับพวกเขา กินอาหารร่วมกับพวกเขา
เพราะฉะนั้น คำสัญญาของผ้าพันพระศพว่างเปล่าก็คือ พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์กับเราแต่ละคน เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์กับบรรดาศิษย์อันเป็นที่รักของพระองค์เมื่อสองพันปีก่อน
พี่น้องครับ ในวันอันน่ายินดียิ่งนี้ กางเขนก็ยึดพระองค์ไว้ไม่ได้ พระคูหาก็ขังพระองค์ไว้ไม่ได้ ผ้าพันพระศพก็ห่อหุ้มพระองค์ไว้ไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงปัสกา-ผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
อย่าลืมว่า กางเขนว่างเปล่า ก็คือคำสัญญาของพระเจ้าว่าบาปของเราได้รับการอภัยแล้ว พระคูหาว่างเปล่า ก็คือคำสัญญาของพระเจ้าว่าเราจะกลับคืนชีพและมีชีวิตนิรันดรเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้า และผ้าพันพระศพว่างเปล่า ก็คือคำสัญญาของพระเจ้าว่าพระองค์ยังทรงพระชนมชีพอยู่ และทรงปรารถนาจะมีความ สัมพันธ์อันดีกับเรา และมอบความหวังพร้อมกับชัยชนะให้แก่เราแต่ละคน ดังที่ทรงตรัสไว้ในหนังสือวิวรณ์ (วว 3:20-21) ว่า “ดูเถิด เรากำลังยืนเคาะประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขา เขาจะกินอาหารร่วมกับเรา ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนบัลลังก์ เหมือนกับที่เรามีชัยชนะแล้วและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระบัลลังก์ของพระองค์”
โอกาสปัสกานี้ ขอพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ โปรดอำนวยพระพรให้พี่น้องทุกท่านใฝ่หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่รอดพ้นจากบาป ชีวิตที่ชิดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ และชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่จะกลับคืนชีพเช่นเดียวกับพระองค์ด้วยเทอญ