มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2019 สมโภชปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                กจ 10:34ก,37-43
     เวลานั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มต้นที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่ยอห์นได้เทศน์สอนและทำพิธีล้าง พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด ทรงกระทำความดีและทรงรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำนาจของปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์ เราทั้งหลายเป็นพยานยืนยันถึงกิจการทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำในเขตแดนของชาวยิวและที่กรุงเยรูซาเล็ม เขาประหารชีวิตพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม และโปรดให้พระองค์แสดงพระองค์ มิใช่แก่ประชาชนทั้งปวง แต่ทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาพยานที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว คือเราทั้งหลายที่ได้กินและได้ดื่มร่วมกับพระองค์ หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้เราประกาศสอนประชาชน และเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์ให้เป็นผู้พิพากษามนุษย์ทุกคน ทั้งผู้เป็นและผู้ตาย บรรดาประกาศกทั้งปวงเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ว่า ‘ทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะได้รับการอภัยบาปเดชะพระนามพระองค์’”

 

เพลงสดุดี                                                                   สดด 118:1-2,16-17,22-23
     ก) จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี
ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า
"ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์"
     ข) พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชูขึ้น
พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ"
ข้าพเจ้าจะไม่ตาย ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่
และจะประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
     ค) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป
กลายเป็นศิลาหัวมุม
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำการนี้
เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโคโลสี     คส 3:1-4
     พี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทั้งหลายตายไปแล้วและชีวิตของท่านก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า เมื่อพระคริสตเจ้าองค์ชีวิตของท่านจะทรงสำแดงพระองค์ เมื่อนั้นท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 20:1-9
     เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน”
     เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรซึ่งตามไปติด ๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย

 

ข้อคิด

     เราคริสตชนอาจมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความสงสัยและสับสนในความเชื่อของเรา มารีย์ชาวมักดาลาเห็นหินเคลื่อนออกไปจากพระคูหา ยังคิดเพียงว่า มีใครนำพระศพของพระองค์ไปที่อื่น เปโตรและยอห์นเอง แม้พระวรสารจะบอกว่า “เขาเห็นและมีความเชื่อ” แต่ก็ยังบันทึกต่อไปว่า “เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย” ที่จริงความสงสัยและความสับสนในความเชื่อไม่ใช่เรื่องแปลก นักบุญเปาโลอธิบายว่า หากมนุษย์มัวแต่พะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เราจะเชื่อและรู้จักคุณค่าของ “สิ่งที่อยู่เบื้องบน”ได้อย่างไร ความเชื่อจึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยสำหรับผู้ที่ฝักใฝ่ทางโลกอย่างแน่นอน ท่านจึงแนะนำเราในวันสำคัญนี้ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด”

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2019 วันจันทร์ในอัฐมวารปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                กจ 2:14,22-32
     เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนและพูดกับประชาชนด้วยเสียงดังว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวยูเดีย และท่านที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงตั้งใจฟังวาจาของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
     ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำนาจทำอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และเครื่องหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำการเหล่านี้ในหมู่ท่านทั้งหลายดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในมือของท่านตามที่พระเจ้ามีพระประสงค์และทรงทราบ ล่วงหน้า ท่านใช้มือของบรรดาคนอธรรมประหารชีวิตพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำนาจแห่งความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อำนาจอีกต่อไปไม่ได้ ดังที่กษัตริย์ดาวิดตรัสถึงพระองค์ว่า
‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ดังนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี ปากของข้าพเจ้ากล่าวถ้อยคำแสดงความเกษมเปรมปรีดิ์ ร่างกายที่ตายได้ของข้าพเจ้า พำนักอยู่ในความหวัง เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนผู้ตาย และจะไม่ทรงปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย พระองค์ทรงสอนข้าพเจ้าให้รู้จักทางแห่งชีวิต พระองค์จะทรงทำให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์’
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านตรงๆ ว่า กษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ ที่ฝังพระศพของพระองค์ยังคงอยู่ในหมู่เราจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงเป็นประกาศกด้วย ทรงทราบว่าพระเจ้าทรงปฏิญาณและทรงสัญญาว่าจะทรงให้เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งของพระองค์ประทับบนพระบัลลังก์สืบต่อมา กษัตริย์ดาวิดทรงเห็นล่วงหน้า จึงตรัสถึงเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าดังนี้ พระองค์มิได้ทรงถูกทอดทิ้งไว้ในแดนผู้ตาย และร่างกายของพระองค์จะไม่เน่าเปื่อย พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพ เราทุกคนเป็นพยานได้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 28:8-15
     เวลานั้น สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์
ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น”
     เมื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่บรรดาหัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำให้ท่านพ้นโทษ”
ทหารได้รับเงินและทำตามคำแนะนำ เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้

 

ข้อคิด

     ความเชื่อต้องทำให้เราคริสตชนมี “ความยินดี” ในชีวิตของตน แม้จะมี “ความกลัว” ปะปนอยู่บ้างเป็นธรรมดาก็ตาม ภาษิตที่ว่า “ความกลัวทำให้เสื่อม” และ “ความยินดีทำให้เจริญ” ในความกลัว เราอาจเห็นแก่ตัวได้ง่าย อาจไม่อยู่ฝ่ายความจริง อาจละทิ้งความถูกต้องชอบธรรม แต่ในความยินดี เราจะมีใจกว้างขึ้น เราจะช่วยเหลือ เราจะแบ่งปัน เราจะออกจากตนเองและเข้าหาเพื่อนมนุษย์ พระเยซูเจ้าตรัสแก่สตรีทั้งสองว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเรา” เราผู้มีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ก็ต้องละทิ้งความกลัว และออกไปแจ้งข่าวดีแก่เพื่อนมนุษย์ของเราเช่นกัน นั่นคือ การให้ความหวังแก่คนอื่นๆแล้วความยินดีของเราจะเต็มเปี่ยม

วันพุธที่ 24 เมษายน 2019 วันพุธในอัฐมวารปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                 กจ 3:1-10
     วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง เปโตรและยอห์นกำลังขึ้นไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐานภาวนา ที่ประตูพระวิหารซึ่งเรียกกันว่า ”ประตูงาม” มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยแต่กำเนิด มีผู้หามคนง่อยผู้นี้มาไว้ที่นั่นทุกวันเพื่อขอทานจากคนที่เข้าไปในพระวิหาร เมื่อเห็นเปโตรและยอห์นกำลังเดินเข้าพระวิหาร คนง่อยจึงขอทานจากเขาทั้งสองคน เปโตรและยอห์นจ้องมองเขา กล่าวว่า “จงมองเรา” คนง่อยก็จ้องดูเขาทั้งสองคน หวังว่าจะได้อะไรบ้าง เปโตรกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเงินไม่มีทอง แต่ข้าพเจ้ามีอะไรจะให้ท่าน เดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ จงเดินไปเถิด” แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขากลับมีกำลัง เขากระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดิน แล้วจึงเข้าไปในพระวิหารพร้อมกับเปโตรและยอห์น เดินบ้าง กระโดดบ้าง พลางสรรเสริญพระเจ้า ประชาชนทั้งหลายเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า ก็จำได้ว่าเขาเป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามของพระวิหาร ต่างก็ตกตะลึงและประหลาดใจอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่เขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 24:13-35
     วันนั้น ศิษย์สองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ดกิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่กำลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำพระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านเดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง
     ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่แวะมาในกรุงเยรูซาเล็มหรือ ซึ่งไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ประกาศกทรงอำนาจในกิจการและคำพูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้งปวง บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้นำของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สตรีบางคนในกลุ่มของเราทำให้เราประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไปที่พระคูหาตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อไม่พบพระศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ บางคนในกลุ่มของเราไปที่พระคูหา และพบทุกอย่างดังที่บรรดาสตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็นพระองค์”
      พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศกกล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ” แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก
     เมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ทรงทำท่าว่าจะทรงพระดำเนินเลยไป แต่เขาทั้งสองคนรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ค่ำและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา ศิษย์ทั้งสองคนจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง และทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง”
     เขาทั้งสองคนจึงรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น พบบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนกำลังชุมนุมกันอยู่กับศิษย์คนอื่นๆ เขาเหล่านี้บอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริงๆ และทรงสำแดงพระองค์แก่ซีโมน” ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง

 

ข้อคิด

     “ปัสกา” เป็นความยินดีของผู้มีความเชื่อ ผู้มีความยินดีย่อม “ไม่นิ่งเฉย” เปโตรสั่งคนง่อยแต่กำเนิดว่า “จงเดินไปเถิด” จึงให้ความหมายที่งดงามแก่ชาวเราด้วย หนังสือกิจการอัครสาวกเล่าต่อไปว่า “เขากระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดิน...เดินบ้าง กระโดดบ้าง พลางสรรเสริญพระเจ้า” นี่แสดงถึงความสุข ความยินดี ของผู้มี “ปัสกา” อยู่ในการเดินทางแห่งชีวิต ในระหว่างการเดินทางไปเอมมาอุส ศิษย์สองคนนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย มีตอนหนึ่งเขาพูดว่า “เราเคยหวังไว้ว่า...” ซึ่งอาจเป็นนัยว่า ความหวังนั้นจบสิ้นแล้ว แต่พระเยซูเจ้าก็เสด็จมาเป็นเพื่อนร่วมทาง เตือนความเชื่อและความหวังของพวกเขาและของเรา ด้วย “การบิขนมปังและยื่นให้” อันหมายถึงการแบ่งปัน ฉะนั้น การเสียสละและการแบ่งปันมีมากเพียงใด ก็ยิ่งมีความยินดีมากเพียงนั้น เพราะทำให้เรา “ตาสว่างและจำพระองค์ได้” เราจง “อย่านิ่งเฉย” แต่ “จงเดินไปเถิด”

วันอังคารที่ 23 เมษายน 2019 วันอังคารในอัฐมวารปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                กจ 2:36-41
     เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียงดังว่า
“ดังนั้น ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้นี้ที่ท่านทั้งหลายนำไปตรึงบนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า”
     ถ้อยคำเหล่านี้เสียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านั้นจึงถามเปโตรและอัครสาวกอื่นๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำอย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้สำหรับท่านทั้งหลาย สำหรับบุตรหลานของท่านและสำหรับทุกคนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราจะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำอีกมาก อ้อนวอนและตักเตือนเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชั่วร้ายในยุคนี้เถิด” คนเหล่านั้นรับถ้อยคำของเปโตรและได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 20:11-18
     เวลานั้น มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” นางตอบว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไป ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง

 

ข้อคิด

     น่าแปลกใจที่มารีย์ ชาวมักดาลาได้เห็นพระเยซูเจ้า และได้ยินเสียงของพระองค์ตรัสกับเธอ แต่เธอจำพระองค์ไม่ได้ ที่จริงคนที่คุ้นเคยกัน บางทีเพียงแค่เห็นด้านหลังหรือมองด้วยหางตาผ่านๆ หรือได้ยินเสียงพูดคำสองคำ ก็จำได้แล้วว่าเป็นใคร บางทีพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะปรากฏแก่เราด้วย “ร่างกายใหม่” รูปลักษณ์ใหม่ที่ไม่คุ้นเคย เป็นเหมือนคนแปลกหน้า ที่เราไม่รู้จักมาก่อน นั่นคือ เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายของเรา ที่เราต้องไปบอก “ข่าวดี” ช่วยเหลือ แบ่งปัน ชีวิตของผู้มีความเชื่อจึงมิใช่ชีวิตที่มัวแต่ “ร้องไห้” อยู่หน้า “คูหา” แต่เป็นชีวิตของ “การก้าวเดิน”ไปหาพี่น้องเพื่อนมนุษย์ของเราทุกคน

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2019 วันพฤหัสบดีในอัฐมวารปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 3:11-26
     ขณะที่คนซึ่งเคยเป็นง่อยคนนั้นหน่วงเหนี่ยวเปโตรและยอห์นไว้ ประชาชนทุกคนประหลาดใจอย่างยิ่ง ต่างวิ่งไปหาเขาทั้งสองคนที่เฉลียงซึ่งเรียกว่า “เฉลียงซาโลมอน”
     เมื่อเปโตรเห็นดังนั้นจึงกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ทำไมท่านจึงประหลาดใจในเรื่องนี้ ทำไมท่านจึงจ้องมองเราเหมือนกับว่าเราทำให้ชายผู้นี้เดินได้ด้วยอำนาจหรือความเลื่อมใสของเราต่อพระเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงสำแดงอำนาจรุ่งเรืองของพระเยซูเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์ ท่านทั้งหลายได้มอบพระเยซูเจ้านี้ให้แก่บรรดาผู้ปกครองและได้ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต ทั้งๆ ที่ปีลาตตัดสินใจจะปล่อยพระองค์อยู่แล้ว ท่านปฏิเสธพระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์และชอบธรรม แต่กลับขอให้ปล่อยฆาตกร ท่านประหารเจ้าชีวิต แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เราเป็นพยานได้ในเรื่องนี้ ด้วยความเชื่อในพระนามพระองค์ ชายผู้นี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและเคยรู้จักจึงกลับมีกำลังขึ้นอีก ความเชื่อในพระองค์นี้แหละรักษาชายง่อยคนนี้ให้เป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย
     ถึงกระนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านทำไปเพราะไม่รู้เช่นเดียวกับบรรดาหัวหน้าของท่าน แต่พระเจ้าทรงใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ถ้อยคำที่พระองค์ตรัสไว้ล่วงหน้าโดยทางบรรดาประกาศกว่าพระคริสตเจ้าของพระองค์จะต้องทรงรับทรมานนั้นเป็นจริง เพราะฉะนั้นท่านจงเป็นทุกข์กลับใจและหันมาหาพระเจ้าเถิด เพื่อบาปของท่านจะได้รับการอภัย 20และดังนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลให้เวลาแห่งการให้กำลังใจมาถึง และจะทรงส่งพระคริสตเจ้าที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้ามาหาท่าน คือพระเยซูเจ้า พระองค์ยังทรงต้องรออยู่ในสวรรค์จนกระทั่งถึงเวลาที่จะทรงฟื้นฟูทุกสิ่งขึ้นใหม่ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่โบราณกาลโดยปากของบรรดาประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ โมเสสกล่าวไว้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงบันดาลให้ท่านมีประกาศกคนหนึ่งเหมือนข้าพเจ้า เกิดขึ้นจากบรรดาพี่น้องของท่าน ท่านจงเชื่อฟังทุกสิ่งที่เขาจะบอก ผู้ใดไม่เชื่อฟังประกาศกผู้นี้ จะต้องถูกกำจัดออกไปจากประชากร” ประกาศกทุกคนตั้งแต่ประกาศกซามูเอลเป็นต้นมาก็ได้กล่าวและประกาศล่วงหน้าถึงเรื่องเหล่านี้
     25ท่านทั้งหลายเป็นบุตรหลานของบรรดาประกาศก และของพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของท่าน เมื่อตรัสแก่อับราฮัมว่า “ประชาชาติทั้งหลายบนแผ่นดินจะได้รับพระพรโดยทางเชื้อสายของท่าน” 26ดังนั้น พระเจ้าทรงบันดาลให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และทรงส่งมาหาท่านก่อนผู้อื่นเพื่อนำพระพรมาให้ท่านแต่ละคนกลับใจละทิ้งวิถีทางชั่วร้ายของตน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 24:35-48
     เวลานั้น ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง
ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังสนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจทำไม เพราะเหตุใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคลำตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และพระบาท เขายินดีและแปลกใจจนไม่อยากเชื่อ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านมีอะไรกินบ้าง” เขาถวายปลาย่างชิ้นหนึ่งแด่พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขา
     หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่คือความหมายของถ้อยคำที่เรากล่าวไว้ขณะที่ยังอยู่กับท่าน ทุกสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดีจะต้องเป็นความจริง” แล้วพระองค์ทรงทำให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม จะต้องประกาศในพระนามพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้”

 

ข้อคิด

     ความสงสัย ลังเลใจ ทำให้เกิด “ความวุ่นวายใจ” อันที่จริง ความสงสัยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามปกติวิสัยของเรามนุษย์ แต่ก็เป็นสิ่งที่เราสามารถเอาชนะได้ หากเราขวนขวายแสวงหาคำตอบ การเดินหน้าไปในชีวิตของเรา จะไปได้ไกลและรวดเร็ว หากเราเดินหน้าไปโดยปราศจากความสงสัยและลังเล แม้ความเชื่อของเราจะไม่ต้องพิสูจน์ด้วยตา หรือการสัมผัส เหมือนที่พระเยซูเจ้าพิสูจน์ให้กับบรรดาสาวกว่าพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจริง แต่การยอมสละชีวิตของบรรดาสาวกเพื่อยืนยันความจริงเรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์เรื่องนี้ให้กับเราโดยไม่สงสัยอีกต่อไป ที่สำคัญหากเราผู้มีความเชื่อจับมือเดินไปด้วยกันแล้ว ความเชื่อจะมั่นคง การเดินทางจะมั่นใจ ตามภาษิตที่ว่า “If you want to go fast, go alone, if you want to go far, go together.” (หากท่านต้องการไปให้เร็ว จงไปคนเดียว หากท่านต้องการไปให้ไกล จงไปด้วยกัน)

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown