มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2019 น.สตานิเลาส์ พระสังฆราชและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                           ปฐก 17:3-9
     ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราให้ไว้กับท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจำนวนมาก ท่านจะไม่ชื่อว่าอับรามอีกแล้ว ท่านจะมีชื่อใหม่ว่าอับราฮัม เพราะเราจะทำให้ท่านเป็นบิดาของชนชาติจำนวนมาก เราจะทำให้ท่านมีลูกหลานจำนวนมากยิ่งๆ ขึ้น จะให้ท่านเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายพระองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กับท่าน และกับลูกหลานของท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธสัญญาที่คงอยู่ตลอดไป เราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่อย่างคนแปลกหน้า ถิ่นนี้คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่านและแก่ลูกหลานที่จะตามมาภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย”
     พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่นจะต้องรักษาพันธสัญญาของเราไว้”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 8:51-59
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย”
ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย’ ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึ่งตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน”
     พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร ผู้ที่ให้เกียรติเราคือพระบิดาของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’ แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ อับราฮัมบิดาของท่านได้ยินดีที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว”
     ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น”
คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร

 

ข้อคิด  

     พระเจ้าตรัสว่า เราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า สมัยคาร์เตอร์เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขาได้เชิญประธานาธิบดีอันวาซาดัตแห่งอียิปต์ซึ่งเป็นมุสลิมที่ดี และประธานาธิบดีอาเลนาคิม เบกิน แห่งอิสราเอล ซึ่งเป็นคนมีความศรัทธาในพระเจ้า เมื่อพวกเขาพบกัน เขาก็ถือว่าเป็นพี่น้องกัน เพราะมุสลิมโยงความเชื่อถึงอับราฮัมผ่านทางอิชมาเอล ส่วนยิวและคริสตชนโยงความเชื่อถึงอับราฮัมผ่านทางอิสอัค และเพื่อให้พันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราฮัมนั้นเกิดผล มุสลิม ยิว และคริสตชนต้องปฏิบัติต่อกันเสมือนเป็นพี่น้องกัน มาจากบิดาเดียวกัน และถ้าเชื่อในพระเจ้า เขาก็จะอยู่ชั่วนิจนิรันดร

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2019 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                               ยรม 20:10-13
     ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยู่โดยรอบมาแล้ว จงกล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และจะแก้แค้นเขา” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ประสบความสำเร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผู้ชอบธรรม ทรงสำรวจใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอคดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ทำความชั่วร้าย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                  ยน 10:31-42
     เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการที่ดีหลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะกิจการใด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอาหินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการที่ดี แต่เพราะท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตนเป็นพระเจ้า”
     พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้า’ พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’ และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ได้ พระบิดาทรงบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์ และทรงส่งเรามาในโลก แล้วทำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิ่นพระเจ้า เมื่อเราพูดว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ ถ้าเราไม่ทำกิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้าเราทำ แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา”
     คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของพวกเขาไปได้
พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีกครั้งหนึ่ง กลับไปยังสถานที่ซึ่งแต่ก่อนนั้นยอห์นได้ทำพิธีล้าง พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่นั่น ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์

 

ข้อคิด

     ชีวิตของประกาศกเยเรมีย์ ถูกขู่เข็ญ ถูกหมายหัว แต่ท่านวางใจในพระเจ้า ท่านเชื่อว่า พระเจ้าอยู่เคียงข้างท่าน ท่านรู้สึกเหมือนนักรบทรงพลัง ส่วนศัตรูของท่านจะพบความอัปยศอดสู
พระเยซูเจ้าเมื่ออยู่ในการสนทนาที่เผ็ดร้อน พระองค์ใจเย็น สนทนากับชาวยิวที่ต้องการชนะพระองค์ เมื่อชนะไม่ได้ก็หาว่าพระองค์พูดดูหมิ่นพระเจ้า และต้องการขว้างหินใส่พระองค์ ที่ปากีสถาน คริสตชนถูกแขวนคอบ่อย เพราะคู่อริของเขาฟ้องว่า เขากล่าวผรุสวาทต่อพระอัลเลาะห์ ทุกวันนี้ เขาขอให้รัฐบาลเปลี่ยนกฎหมายข้อนี้ แต่ยังทำไม่สำเร็จ

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2019 วันอาทิตย์ใบลาน

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 50:4-7
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาทและถ่มน้ำลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำหน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย

 

เพลงสดุดี                                                                    สดด 22:7-8,16-17,18-19,22-23ก
     ก) ผู้ใดเห็นข้าพเจ้าก็เยาะเย้ย
เขายิ้มหยันและสั่นศีรษะ พลางพูดว่า
"เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้พระองค์ทรงช่วยซิ
ถ้าพระองค์ทรงรักเขา ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา”
     ข) สุนัขฝูงหนึ่งรี่เข้ามากลุ้มรุมข้าพเจ้า
อันธพาลกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาประชิด
เขาเจาะไชมือและเท้าของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้านับกระดูกของข้าพเจ้าได้ทุกชิ้น
เขาต่างจ้องมองข้าพเจ้าและสะใจ
     ค) เขานำเสื้อผ้าของข้าพเจ้ามาแบ่งปันกัน
นำเสื้อยาวของข้าพเจ้ามาจับสลากกัน
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงอยู่ห่างจากข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเป็นพลังของข้าพเจ้า โปรดเสด็จมาช่วยข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด
     ง) แล้วข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์แก่บรรดาพี่น้อง
จะสรรเสริญพระองค์ในหมู่ประชากรที่มาชุมนุมกัน
ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์เถิด
พงศ์พันธุ์ยาโคบเอ๋ย จงถวายพพระเกียรติแด่พระองค์
พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงเคารพยำเกรงพระองค์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี     ฟป 2:6-11
     แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา

 

พระทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าตามพระวรสารนักบุญลูกา     ลก 23:1-49
     ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้น นำพระองค์ไปมอบให้ปีลาต
เขาเหล่านั้นตั้งข้อกล่าวหาพระองค์โดยพูดว่า “เราพบคนคนนี้ยุยงประชาชนของเรา ห้ามเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิ และอ้างว่าตนเป็นพระคริสต์ กษัตริย์” ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านพูดเองแล้ว” ปีลาตจึงพูดกับบรรดาหัวหน้าสมณะและประชาชนว่า “เราไม่พบความผิดข้อใดในคนคนนี้” แต่พวกเขาย้ำอีกว่า “เขาก่อกวนประชาชน เที่ยวสั่งสอนทั่วแคว้นยูเดีย โดยเริ่มตั้งแต่แคว้นกาลิลีจนถึงที่นี่” เมื่อปีลาตได้ยินดังนี้จึงถามว่า “คนนี้เป็นชาวกาลิลีหรือไม่” เมื่อทราบว่าพระองค์ทรงอยู่ในอำนาจของกษัตริย์เฮโรด จึงส่งพระองค์ไปให้กษัตริย์เฮโรด ซึ่งในขณะนั้นประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม
เมื่อกษัตริย์เฮโรดทอดพระเนตรเห็นพระเยซูเจ้า ก็ทรงยินดีมาก เพราะทรงได้ยินเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า มีพระประสงค์จะเห็นพระองค์มานานแล้ว และทรงหวังจะได้เห็นอัศจรรย์จากพระเยซูเจ้าบ้าง กษัตริย์เฮโรดตรัสถามพระเยซูเจ้าหลายเรื่อง แต่พระเยซูเจ้ามิได้ทรงตอบแต่ประการใด บรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ซึ่งอยู่ที่นั่นร่วมกันกล่าวหาพระเยซูเจ้าอย่างรุนแรง กษัตริย์เฮโรดพร้อมกับบรรดาทหารสบประมาทเยาะเย้ยพระเยซูเจ้า ให้พระองค์สวมเสื้อสีฉูดฉาด และส่งกลับไปมอบให้ปีลาต กษัตริย์เฮโรดและปีลาตซึ่งแต่ก่อนเป็นศัตรูกัน ก็กลับเป็นเพื่อนกัน
     ปีลาตเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะ บรรดาผู้นำและประชาชน แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายนำชายผู้นี้มาหาเราในฐานะเป็นผู้ยุยงประชาชนให้กบฏ เราไต่สวนเขาต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว แต่ไม่พบว่าเขามีความผิดประการใดตามที่ท่านกล่าวหา กษัตริย์เฮโรดก็ไม่ทรงพบความผิดประการใดด้วย จึงทรงส่งเขากลับมาให้เราอีก ท่านก็เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้ทำผิดที่ควรจะมีโทษถึงตาย เพราะฉะนั้น เราจะสั่งให้เฆี่ยนเขา แล้วปล่อยไป” แต่ประชาชนร้องตะโกนพร้อมกันว่า “ฆ่าเขาเสีย ปล่อยบารับบัสให้เรา” บารับบัสผู้นี้ถูกจำคุกเพราะก่อการจลาจลในเมืองและฆ่าคน
     ปีลาตต้องการปล่อยพระเยซูเจ้า จึงพูดกับประชาชนอีก แต่คนเหล่านั้นร้องตะโกนกลับมาว่า “เอาไปตรึงกางเขน เอาไปตรึงกางเขน” ปีลาตพูดกับประชาชนเป็นครั้งที่สามว่า “เขาทำผิดอะไร เราไม่พบว่าเขาทำผิดอะไรที่ควรจะมีโทษถึงตาย ดังนั้น เราจะให้เฆี่ยนเขาและปล่อยไป” แต่ประชาชนยังคงตะโกนเสียงดังต่อไป ขอให้เอาพระองค์ไปตรึงกางเขน และเสียงของประชาชนดังขึ้นๆ
     ปีลาตจึงตัดสินให้เป็นไปตามคำเรียกร้องของประชาชน ปล่อยคนที่ถูกจำคุกเพราะก่อการจลาจลและฆ่าคน และมอบพระเยซูเจ้าให้เขาจัดการตามความพอใจ
     ขณะที่บรรดาทหารนำพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีนซึ่งกำลังกลับจากชนบท วางไม้กางเขนบนบ่าของเขาให้แบกตามพระเยซูเจ้า ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไปรวมทั้งสตรีกลุ่มหนึ่งซึ่งข้อน-อกคร่ำครวญถึงพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทางสตรีเหล่านี้ ตรัสว่า “ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูกๆ เถิด เพราะวันนั้นจะมาถึง เมื่อประชาชนจะพูดว่า ‘หญิงที่เป็นหมัน ครรภ์ที่มิได้ให้กำเนิดบุตร และนมที่มิได้เลี้ยงลูกก็เป็นสุข’ เวลานั้นประชาชนจะพูดกับภูเขาว่า ‘จงถล่มลงมาทับเราเถิด’ และพูดกับเนินเขาว่า ‘จงกลบเราไว้เถิด’ เพราะถ้าเขาทำกับไม้สดเช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับไม้แห้ง” บรรดาทหารนำผู้ร้ายสองคนไปประหารชีวิตพร้อมกับพระองค์ด้วย
เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกะโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ที่นั่นพร้อมกับผู้ร้ายสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างขวาและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” ทหารนำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน
     ประชาชนยืนดูอยู่ที่นั่น ส่วนบรรดาผู้นำเยาะเย้ยพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดพ้นได้ ก็ให้เขาช่วยตนเองซิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร” แม้แต่บรรดาทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เขานำเหล้าองุ่นเปรี้ยวเข้ามาถวาย พลางกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ก็จงช่วยตนเองให้รอดพ้นซิ” มีคำเขียนไว้เหนือพระองค์ว่า “ผู้นี้คือกษัตริย์ของชาวยิว”
ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พูดดูหมิ่นพระองค์ว่า “แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ จงช่วยตนเองและช่วยเราให้รอดพ้นด้วยซิ” แต่อีกคนหนึ่งดุเขา กล่าวว่า “แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือที่มารับโทษเดียวกันกับท่านผู้นี้ สำหรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว เพราะเรารับโทษสมกับการกระทำของเรา แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำผิดเลย” แล้วเขาทูลว่า “ข้าแต่พระเยซู โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์”
     ขณะนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน ทั่วแผ่นดินมืดไปจนถึงเวลาบ่ายสามโมง เพราะดวงอาทิตย์มืดลง ม่านในพระวิหารฉีกขาดตรงกลาง พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็สิ้นพระชนม์
     เมื่อนายร้อยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า พูดว่า “ชายคนนี้เป็นผู้ชอบธรรมแน่ทีเดียว” ประชาชนที่มาชุมนุมกันดูเหตุการณ์นี้ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ข้อน-อก พากันกลับไป ทุกคนที่รู้จักคุ้นเคยกับพระองค์ รวมทั้งบรรดาสตรีที่ติดตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีต่างยืนอยู่ห่างๆ คอยดูเหตุการณ์นี้

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าทนทุกข์ทรมานเหมือนเรา 3 ทางคือ ฝ่ายจิตใจ ฝ่ายกายและฝ่ายจิตวิญญาณ การทรมานของพระเยซูเจ้าที่เรารำพึงวันนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งพลังสำหรับคนนับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ พระองค์ทนทุกข์ฝ่ายจิตใจ ที่สวนเกทเมนีพระองค์เห็นทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์กลัวจนเหงื่อของพระองค์ออกมาเป็นเลือด พระองค์ทรมานฝ่ายกาย ทรงถูกเฆี่ยนตีอย่างป่าเถื่อน ถูกสวมมงกุฎหนามและถูกตอกตะปูตรึงกับไม้กางเขน พระองค์ทรมานฝ่ายจิตวิญญาณ ทรงถูกแขวนบนไม้กางเขน และพระองค์รู้สึกเหมือนว่าพระบิดาทอดทิ้งพระองค์ พระองค์ภาวนาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์ทอดทิ้งลูก”
การทนทุกข์ร่วมกับพระเยซูเจ้า จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ให้เราสามารถเผชิญหน้ากับอุปสรรคทุกอย่าง

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน 2019 ระลึกถึง น.มาร์ตินที่ 1 พระสันตะปาปาและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                            อสค 37:21-28
     พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะนำชาวอิสราเอลมาจากนานาชาติซึ่งเขาไปอาศัยอยู่ด้วย เราจะรวบรวมเขามาจากทุกแห่ง และจะนำเขามายังแผ่นดินของเขา เราจะทำให้เขาเป็นชนชาติเดียวในแผ่นดิน บนภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล จะมีกษัตริย์พระองค์เดียวปกครองเขาทั้งหลาย เขาจะไม่เป็นชนสองชาติ และจะไม่แยกเป็นสองอาณาจักรอีกต่อไป เขาทั้งหลายจะไม่ทำตนให้เป็นมลทินกับรูปเคารพ โดยการกระทำน่าสะอิดสะเอียน และการล่วงละเมิดทั้งหลายของเขาอีกต่อไป เราจะช่วยเขาให้พ้นจากการทรยศที่เขาได้ทำบาป เราจะชำระเขา แล้วเขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นกษัตริย์ปกครองเขา จะเป็นผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียวของเขาทุกคน เขาจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา จะรักษาข้อกำหนดของเราและปฏิบัติตาม เขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เราให้แก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา เป็นแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเขาเคยอาศัยอยู่ เขาจะอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป ทั้งตัวเขา ลูก และหลานของเขา ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นเจ้านายปกครองเขาตลอดไป เราจะทำพันธสัญญาสันติภาพซึ่งจะเป็นพันธสัญญานิรันดรกับเขา เราจะให้เขาตั้งหลักแหล่งและทวีจำนวนขึ้น เราจะตั้งสักการสถานของเราไว้ในหมู่เขาตลอดไป ที่พำนักของเราจะอยู่ในหมู่เขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา แล้วนานาชาติจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราทำให้อิสราเอลศักดิ์สิทธิ์เมื่อสักการสถานของเราจะอยู่ในหมู่เขาตลอดไป’”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 11:45-57
     เวลานั้น ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ก็เชื่อในพระองค์ แต่บางคนไปพบชาวฟาริสี เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำให้ฟัง บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียกประชุมสภา ปรึกษากันว่า “พวกเราจะทำอย่างไรดี เพราะคนคนนี้ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชนชาติของเรา” คนหนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านไม่คิดหรือว่า ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป” เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ตามใจตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นมหาสมณะในปีนั้น เขาประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารชีวิตพระองค์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไปที่เมืองชื่อเอฟราอิม ในเขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำนักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์
     วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง ประชาชนจำนวนมากเดินทางจากชนบทขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อชำระตนก่อนวันฉลอง เขาเหล่านั้นเสาะหาพระเยซูเจ้า และขณะที่ยืนอยู่ในพระวิหารก็ถามกันว่า “ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำสั่งว่า ถ้าใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะได้จับกุมพระองค์

 

ข้อคิด

      ประกาศกเอเสเคียลมีชีวิตอยู่ 6 ศตวรรษก่อนพระเยซูเจ้า เวลานั้น ประชาชนสูญเสียศักดิ์ศรีที่เคยมี พันธกิจของท่านแบ่งออกเป็นสองภาค คือก่อนและหลังการเสียกรุงเยรูซาเล็ม ก่อนเสียกรุงนั้น ท่านเตือนประชาชนมิให้นิ่งนอนใจคิดว่าบ้านเมืองปกติ เพราะพระไม่ช่วยกรุงเยรูซาเล็มแล้ว หลังเสียกรุงแล้ว ท่านทำหน้าที่ฟื้นฟูขวัญและให้กำลังใจผู้คนว่า พระเจ้าไม่ทิ้งพวกเขาตลอดไป พระเจ้าใช้สถานการณ์เพื่อสั่งสอนประชาชน

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน 2019 สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 42:1-7
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “นี่คือผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเราพอใจเขา เราให้จิตของเราแก่เขา เขาจะนำความยุติธรรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่ร้องตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ทำให้ใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน ไม้อ้อที่ช้ำแล้ว เขาจะไม่หัก และไส้ตะเกียงที่ริบหรี่อยู่ เขาจะไม่ดับ เขาจะประกาศความยุติธรรมด้วยความสัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำสอนของเขา”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงสร้างท้องฟ้ากว้างใหญ่ ทรงคลี่แผ่นดินและทุกสิ่งที่เกิดจากที่นั่น ประทานชีวิตแก่ประชากรบนแผ่นดิน และประทานลมหายใจแก่ผู้ที่ดำเนินอยู่ที่นั่น ตรัสว่า“เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำจากคุก ปลดปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 12:1-11
     หกวันก่อนฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานี ตำบลที่อยู่ของลาซารัสที่พระองค์ทรงทำให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ผู้คนที่นั่นจัดงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระองค์ มารธาคอยรับใช้ ขณะที่ลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ด้วย มารีย์ใช้น้ำมันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพงหนักประมาณครึ่งชั่งชโลมพระบาทพระเยซูเจ้า และใช้ผมเช็ดพระบาท กลิ่นน้ำมันหอมอบอวลไปทั่วบ้าน ยูดาสอิสคาริโอท ศิษย์คนหนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์พูดว่า “ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมนี้ไปขายราคาสามร้อยเหรียญ แล้วนำเงินไปแจกให้คนยากจน” ที่เขาพูดเช่นนี้มิใช่เพราะเขาห่วงใยคนยากจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย เขาเป็นผู้ถือถุงเงินและยักยอกเงินในถุงนั้น พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ช่างเถิด ปล่อยให้นางเก็บน้ำมันหอมนี้ไว้สำหรับวันฝังศพของเรา คนยากจนนั้นอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านตลอดไป”
     ชาวยิวจำนวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงมา มิใช่เพียงเพื่อเฝ้าพระเยซูเจ้า แต่เพื่อมาดูลาซารัส ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย บรรดาหัวหน้าสมณะจึงตกลงกันจะฆ่าลาซารัสด้วย เพราะลาซารัสทำให้ชาวยิวจำนวนมากไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์

 

ข้อคิด

     ทุกคนในงานต่างก็หมกมุ่นสนุกสนานอยู่กับการกินการดื่ม ในงานเลี้ยงฉลองการกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายของลาซารัส ไม่มีใครให้ความสำคัญต่อการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า แม้แต่ยูดาสอิสคาริโอทศิษย์ที่พระองค์ทรงเลือกมากับมือ ก็ปล่อยให้เงินทำตัวเองสับสน ทำให้ตัวเองตกต่ำ ให้ความสำคัญกับเงินมากกว่าพระอาจารย์ มีแต่มารีย์เท่านั้นให้ความสำคัญต่อพระเยซูเจ้า เธอนำน้ำมันหอมมาชโลมพระบาท พระวรสารเตือนใจเรา ให้ก้าวออกจากการบริโภคสู่ความใจกว้าง มองเห็นความสำคัญ ความต้องการของผู้อื่น และเห็นพระเยซูเจ้าเป็น “พระอาจารย์” เสมอ

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown