มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2021 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                              กจ 16:22-34
     ในครั้งนั้น ประชาชนกลุ้มรุมกันจะทำร้ายเปาโลและสิลาส บรรดาผู้พิพากษาจึงสั่งให้เปลื้องเสื้อผ้าและเฆี่ยนเขาทั้งสองคน เมื่อได้เฆี่ยนหลายทีแล้ว ก็นำไปขังคุก สั่งให้ผู้คุมควบคุมไว้อย่างกวดขัน เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้ ผู้คุมก็นำเปาโลและสิลาสไปขังไว้ในคุกชั้นในสุด และใส่โซ่ตรวนที่เท้าอย่างแน่นหนา
     เวลาประมาณเที่ยงคืน เปาโลและสิลาสกำลังอธิษฐานภาวนาและขับร้องสรรเสริญพระเจ้า นักโทษคนอื่นกำลังฟังอยู่ ทันใดนั้น เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนฐานคุกสั่นสะเทือน ประตูคุกทุกบานเปิดออกทันที โซ่ตรวนของผู้ถูกจองจำทุกคนก็หลุด ผู้คุมตื่นขึ้น เห็นว่าประตูคุกเปิด จึงชักดาบจะฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่าบรรดาผู้ถูกจองจำหนีไปหมดแล้ว แต่เปาโลร้องตะโกนว่า “อย่าทำร้ายตนเองเลย พวกเรายังอยู่ที่นี่กันทุกคน”
     ผู้คุมสั่งให้จุดตะเกียง กระโดดเข้าไปในคุก ตัวสั่น กราบลงแทบเท้าของเปาโลและ สิลาส พาคนทั้งสองออกมาข้างนอกพูดว่า “ท่านขอรับ ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะรอดพ้น”
      เปาโลและสิลาสตอบว่า “จงเชื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ท่านและครอบครัวจะได้รอดพ้น” ทั้งสองคนประกาศพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ผู้คุมและทุกคนในครอบครัวฟัง เวลาดึกคืนนั้น ผู้คุมพาเขาทั้งสองคนแยกไปล้างแผล ทันทีหลังจากนั้น เขาได้รับศีลล้างบาปพร้อมกับทุกคนในครอบครัว เขาเชิญทั้งสองคนขึ้นไปบนบ้าน จัดโต๊ะเลี้ยงอาหาร และมีความยินดีพร้อมกันทั้งครอบครัว ที่ได้มีความเชื่อในพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                             ยน 16:5-11
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “บัดนี้เรากำลังไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ไม่มีผู้ใดถามเราว่า ‘พระองค์จะเสด็จไปไหน’ แต่เพราะเราได้บอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน ใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์ เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ที่เราไปนั้นก็เป็นประโยชน์กับท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาท่าน เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงแสดงให้โลกเห็นความหมายของบาป ของความถูกต้อง และของการตัดสิน บาปของโลกคือ เขาไม่ได้เชื่อในเรา ความถูกต้องคือ เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา และท่านจะไม่เห็นเราอีก การตัดสินคือ ซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้ถูกตัดสินลงโทษแล้ว”

 

ข้อคิด
     ขณะเจริญพระชนมชีพอยู่ในโลกนี้ ร่างกายของพระเยซูเจ้าถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ แต่เมื่อเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์สามารถส่งพระจิตของพระองค์ซึ่งสามารถเข้าถึงความคิด จิตใจ และมโนธรรมของทุกคนและทุกแห่ง
     พระจิตเจ้าทรงทำให้โลกสำนึกถึงความผิดบาปของตนที่ไม่เชื่อและได้ตรึงกางเขนพระเยซูเจ้า อีกทั้งทรงพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ที่พวกเขาได้ประหารราวกับเป็นอาชญากร เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงและกำลังจะเสด็จกลับไปเฝ้าพระบิดา ที่สุด พระจิตเจ้าทรงทำให้โลกสำนึกว่า สักวันหนึ่งพวกเขาก็จะต้องถูกตัดสินลงโทษหากยังขืนยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับซาตาน ซึ่งพ่ายแพ้ต่อกางเขนของพระองค์แล้ว

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2021 น.เนเรโอ อาคิลเล และเพื่อนมรณสักขี น.ปันกราส มรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                             กจ 17:15,22-18:1
     ในครั้งนั้น เพื่อนร่วมทางพาเปาโลไปถึงกรุงเอเธนส์ แล้วเดินทางกลับพร้อมกับคำสั่งของเปาโลให้สิลาสและทิโมธีรีบเดินทางไปสมทบโดยเร็วที่สุด
     เปาโลยืนอยู่ตรงกลางที่ประชุมอภิรัฐสภาพูดว่า “ชาวเอเธนส์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าพบว่าท่านมีความเลื่อมใสในศาสนามากจริงๆ เมื่อข้าพเจ้าเดินชมเมืองสังเกตเห็นปูชนียวัตถุต่างๆ ของท่าน พบแท่นบูชาแท่นหนึ่งมีคำจารึกว่า “แด่พระเจ้าที่เราไม่รู้จัก” ข้าพเจ้ามาประกาศให้ท่านรู้จักพระเจ้าองค์นี้ที่ท่านเคารพทั้งๆ ที่ท่านไม่รู้จัก
     พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและทรงสร้างทุกสิ่งที่อยู่ในโลก พระองค์ทรงเป็นเจ้านายของสวรรค์และแผ่นดิน พระองค์ไม่สถิตในวิหารที่มือมนุษย์สร้างขึ้น พระองค์ไม่ทรงต้องการการปรนนิบัติจากมือมนุษย์ ประหนึ่งว่าทรงขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลมหายใจและทุกสิ่งให้แก่มนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ทุกชาติสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คนเดียว และทรงทำให้เขาทั้งหลายอยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโดยทรงกำหนดช่วงเวลาและขอบเขตให้เขาอยู่ พระเจ้าทรงกระทำดังนี้เพื่อให้มนุษย์แสวงหาพระเจ้า เขาพบพระองค์ได้ แม้จะต้องคลำหา เพราะพระองค์ทรงอยู่ไม่ห่างจากเราแต่ละคน เรามีชีวิต เคลื่อนไหวและมีความเป็นอยู่ในพระองค์ ดังที่กวีบางคนของท่านกล่าวไว้ว่า “พวกเราเป็นบุตรของพระองค์”
     เราเป็นบุตรของพระเจ้า เราจึงไม่ควรคิดว่า พระเจ้าทรงเป็นเหมือนรูปทองคำ เงินหรือหินซึ่งแกะสลักอย่างมีศิลปะตามจินตนาการของมนุษย์ บัดนี้ พระเจ้าทรงมองข้ามเวลาในอดีตเมื่อมนุษย์ยังไม่มีความรู้ พระองค์ทรงบัญชาให้มนุษย์ทุกคนทั่วทุกแห่งกลับใจ เพราะพระองค์ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้เมื่อจะทรงพิพากษาโลกด้วยความยุติธรรม โดยผ่านมนุษย์ผู้หนึ่งที่พระองค์ทรงแต่งตั้งและทรงรับรองต่อมนุษย์ทุกคนโดยทรงทำให้ผู้นี้กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตาย”
     เมื่อเขาเหล่านั้นฟังคำพูดเรื่องการกลับคืนชีวิตของบรรดาผู้ตาย บางคนหัวเราะเยาะ บางคนพูดว่า “รอไว้ฟังเรื่องนี้จากท่านในคราวหน้าก็แล้วกัน” เปาโลจึงออกไปจากที่ประชุมสภา แม้กระนั้น บางคนก็ยังติดตามเปาโลและมีความเชื่อ คือ ดีโอนีซีอัส สมาชิกอภิรัฐสภา และสตรีคนหนึ่งชื่อดามารีส รวมทั้งคนอื่นอีกจำนวนหนึ่งด้วย
หลังจากนั้น เปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ไปเมืองโครินธ์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 16:12-15
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมา และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงได้รับจากเรา ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วย ดังนั้น เราจึงบอกว่า พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา”

 

ข้อคิด
     เนื่องจากพระเยซูเจ้าทรงมีทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมี ซึ่งไม่มีขอบเขต จึงไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถรับและเข้าใจคำสอนของพระองค์ได้ทั้งหมด แต่พระจิตเจ้าจะทรงทยอยไขแสดงคำสอนของพระองค์ว่ามีความหมายต่อชีวิต ต่อครอบครัว ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ และต่อโลกของเราอย่างไร
     นอกจากนั้น พระจิตเจ้ายังจะทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล ซึ่งรวมถึงวิทยาการและเทคโนโลยีทุกด้านทุกสาขา ล้วนได้รับการดลใจและการไขแสดงจากพระองค์ทั้งสิ้น

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2021 ฉลองนักบุญมัทธีอัส อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                             กจ 1:15-17,20-26
     ในระหว่างนั้น เปโตรยืนขึ้นในหมู่พี่น้องที่ชุมนุมกันอยู่ประมาณ 120 คน กล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย จำเป็นที่พระคัมภีร์จะต้องเป็นจริงตามที่พระจิตเจ้าทรงใช้พระโอษฐ์ของกษัตริย์ดาวิดตรัสล่วงหน้าถึงยูดาส ผู้นำคนมาจับกุมพระเยซูเจ้า ยูดาสผู้นี้เคยเป็นคนหนึ่งในคณะของเราและร่วมภารกิจกับเรา เพราะมีเขียนไว้ในหนังสือเพลงสดุดีว่า “ขอให้ที่อยู่ของเขาถูกทิ้งร้าง อย่าให้มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย” และอีกตอนหนึ่งว่า “ขอให้ผู้อื่นรับหน้าที่แทนเขา”
     ดังนั้น ในบรรดาคนทั้งหลายซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลาที่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำเนินชีวิตอยู่กับเรา เริ่มตั้งแต่พิธีล้างของยอห์นจนถึงวันที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์นั้น จำเป็นที่คนหนึ่งจะต้องเป็นพยานร่วมกับเราถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์”
ผู้ที่มาชุมนุมกันเสนอชื่อชายสองคน คือโยเซฟที่เรียกว่าบารซับบัสหรือยุสทัส และอีกคนหนึ่งชื่อมัทธีอัส เขาทั้งหลายอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบจิตใจของมนุษย์ทุกคน ขอทรงแสดงให้ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้ว่า พระองค์ทรงเลือกคนใดในสองคนนี้ ให้รับหน้าที่รับใช้เป็นอัครสาวกแทนยูดาสที่ละทิ้งหน้าที่นี้เพื่อไปยังที่ของตน” เขาจึงจับสลากระหว่างสองคนนี้ และจับสลากได้มัทธีอัส มัทธีอัสจึงได้เข้าร่วมคณะกับอัครสาวกสิบเอ็ดคน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 15:9-17
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับอัครสาวกว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์ เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์
     นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน”


ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าทรงเลือกมัทธีอัสให้เป็นอัครสาวก และทรงเลือกเราให้เป็นศิษย์ของพระองค์ก็เพื่อจะได้มอบหมายภารกิจให้เราไปทำ นั่นคือให้เรานำพระองค์ไปสู่ผู้ที่ยังไม่รู้จักพระองค์
     เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ เราต้องทำให้ชีวิตคริสตชนของเราบังเกิดผล เพื่อจะได้ดึงดูดและทำให้ผู้อื่นปรารถนาที่จะเป็นคริสตชนเช่นเดียวกับเรา และสิ่งที่ดึงดูดคนต่างศาสนาได้ดีที่สุดก็คือ การปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงรักกัน”

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2021 พระนางมารีย์พรหมจารีแห่งฟาติมา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                              กจ 18:1-8
     หลังจากนั้น เปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ไปเมืองโครินธ์ เขาพบชาวยิวคนหนึ่ง ชื่ออาควิลา ชาวแคว้นปอนทัส เพิ่งมาจากอิตาลีพร้อมกับภรรยาชื่อปริสซิลลา เพราะพระจักรพรรดิคลาวดิอัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิวทุกคนออกจากกรุงโรม เปาโลไปพบเขาทั้งสองคน พักอยู่และทำงานร่วมกันเพราะมีอาชีพเดียวกันคือเป็นช่างทำกระโจม ทุกวันสับบาโตเปาโลถกเถียงในศาลาธรรม พยายามชักชวนชาวยิวและชาวกรีกให้มีความเชื่อ
     เมื่อสิลาสและทิโมธีกลับมาจากแคว้นมาซิโดเนีย แล้ว เปาโลอุทิศตนเต็มที่ในการประกาศพระวาจาเป็นพยานยืนยันแก่ชาวยิวว่า พระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า แต่เมื่อชาวยิวเหล่านั้นต่อต้านและพูดดูหมิ่นพระเจ้า เปาโลก็สะบัดฝุ่นจากเสื้อผ้าเป็นการตอบโต้ พูดกับเขาว่า “ถ้าท่านไม่รอดพ้น ก็เป็นเรื่องของท่าน ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างศาสนา”
เปาโลออกจากศาลาธรรมไปยังบ้านของทิธีอัสยุสตัส ผู้เลื่อมใสในพระเจ้า บ้านของเขาอยู่ติดกับศาลาธรรม คริสปัสหัวหน้าศาลาธรรมและทุกคนในครอบครัวมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชาวโครินธ์หลายคนที่ฟังเปาโล ก็มีความเชื่อและรับศีลล้างบาปด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 16:16-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “อีกไม่นาน ท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเรา และต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก” ศิษย์บางคนจึงถามกันว่า “ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า ‘อีกไม่นาน ท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก’ หมายความว่าอย่างไร และที่พระองค์ตรัสว่า ‘เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา’ หมายความว่าอย่างไร” เขาพูดกันอีกว่า “ที่พระองค์ตรัสว่า ‘อีกไม่นาน’ นั้นหมายความว่าอย่างไรเราไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสอะไร” พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าบรรดาศิษย์ต้องการทูลถามพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านกำลังถามกันใช่ไหมถึงเรื่องที่เราบอกว่า อีกไม่นานท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นานท่านจะเห็นเราอีก เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้ คร่ำครวญ แต่โลกจะยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี”

 

ข้อคิด
     อาจมีบางเวลาที่ดูเหมือนการเป็นคริสตชนไม่ได้นำอะไรมาให้นอกจากความโศกเศร้า การร่ำไห้คร่ำครวญ และความทุกข์ทรมานเหมือนสตรีกำลังจะคลอดบุตร ในขณะที่การดำเนินชีวิตตามกระแสโลกมีแต่จะนำมาซึ่งความร่าเริงยินดี
     กระนั้นก็ตาม เราคริสตชนต้องระลึกอยู่เสมอว่านี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่อง เพราะอีกไม่นานพระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมา เมื่อนั้นความโศกเศร้าของเราจะเปลี่ยนเป็นความยินดีอย่างสมบูรณ์

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2021 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                              กจ 18:23-28
     หลังจากอยู่ในเมืองอันทิโอกระยะหนึ่ง เปาโลออกจากที่นั่น เดินทางไปทั่วแคว้น กาลาเทียและฟรีเจียเพื่อทำให้บรรดาศิษย์มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น
     ในช่วงเวลานั้น ชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล ชาวเมืองอเล็กซานเดรีย มาที่เมือง เอเฟซัส เขารอบรู้พระคัมภีร์ มีวาทศิลป์ ได้รับการสั่งสอนเรื่องวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีจิตใจกระตือรือร้นมากในการพูดและการสอนเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าอย่างถูกต้อง แต่รู้จักเพียงพิธีล้างของยอห์นเท่านั้น เขาเริ่มเทศน์สอนอย่างกล้าหาญในศาลาธรรม ปริสซิลลาและ อาควิลาได้ฟังจึงเชิญเขาไปที่บ้านและอธิบายให้เขาเข้าใจวิถีทางของพระเจ้าอย่างละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น อปอลโลต้องการไปยังแคว้นอาคายา บรรดาพี่น้องก็ให้กำลังใจและเขียนจดหมายถึงบรรดาศิษย์ที่นั่นให้ต้อนรับเขา เมื่อไปถึง อปอลโลให้ความช่วยเหลืออย่างมากแก่ผู้ที่พระเจ้าทรงบันดาลให้มีความเชื่อ เขาตอบโต้อย่างแข็งขันกับชาวยิวต่อหน้าคนทั้งหลาย โดยอ้างข้อความจากพระคัมภีร์พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 16:23ข-28
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานให้ท่านในนามของเรา จนถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเราเลย จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ เพื่อความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ เราใช้อุปมาบอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน จะถึงเวลา ที่เราจะไม่ใช้อุปมาพูดกับท่านอีก แต่จะบอกถึงพระบิดาของเราให้ท่านรู้อย่างชัดแจ้ง วันนั้น ท่านจะขอในนามของเรา เราไม่บอกท่านว่า เราจะขอพระบิดา เพื่อท่าน พระบิดาทรงรักท่าน เพราะท่านรักเรา และเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้ บัดนี้ เรากำลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก”

 

ข้อคิด
     ก่อนหน้านี้พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเพื่อให้ผู้ฟังไตร่ตรองเองว่าพระองค์เป็นผู้ใด แต่บัดนี้พระองค์ตรัสตรงไปตรงมาว่า พระองค์ทรงมาจากพระบิดา และกำลังจะกลับไปเฝ้าพระบิดา ซึ่งเท่ากับทรงประกาศอย่างชัดเจนว่า พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า
อีกสิ่งหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงบอกเราอย่างชัดแจ้งก็คือ พระบิดาทรงรักทุกคนที่รักและเชื่อพระองค์ นับจากนี้ไปหนทางจึงเปิดกว้างสำหรับผู้ที่ต้องการวอนขอพระบิดาโดยตรง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown