มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2021 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                             ยรม 7:23-28
     พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้สั่งเขาดังนี้ “จงฟังเสียงของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และท่านจะเป็นประชากรของเรา จงเดินตามทางที่เราจะสั่งท่านไว้ แล้วท่านจะได้อยู่อย่างเป็นสุข” แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดำเนินตามแผนการในความดื้อกระด้างของใจชั่วของตน หันหลังให้เราแทนที่จะหันหน้า ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์จนทุกวันนี้ เราได้ส่งประกาศกผู้รับใช้ทุกคนของเราไปหาท่านทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอมา แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดื้อดึงทำความชั่วมากกว่าบรรพบุรุษเสียอีก ท่านจงไปบอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมดแก่เขา แต่เขาจะไม่ฟังท่าน ท่านจะเรียกเขา แต่เขาจะไม่ตอบ ท่านจงบอกเขาว่า ‘นี่คือชนชาติที่ไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของตน และไม่ยอมรับคำสั่งสอน ความซื่อสัตย์ไม่มีอีกแล้ว หายไปจากปากของเขาแล้ว’”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                               ลก 11:14-23
     เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำลังทรงขับไล่ปีศาจซึ่งทำให้คนเป็นใบ้ เมื่อปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำนาจของใครเล่า พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้
ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป”


ข้อคิด
     การฟังอย่างมีสติ..ช่วยลดอคติ ที่แฝงอยู่ภายในจิตใจ..อย่าตระหนกตกใจ ถ้าในวันนี้ ความดีที่ได้ทำ
แต่กลับมีคนจับผิด นำไปพูดนินทา ว่าร้าย เพราะ พระเยซูเจ้าเคยประสบมาก่อน พระองค์สอนให้ลองใช้ “ความสงบ สยบความชั่วร้าย”พระองค์ยังเตือนด้วยว่า สิ่งแรก ที่นำหมู่คณะ ไปสู่ความแตกแยก
คือ ความคิดชั่วร้ายจากภายในเสียงของพระเจ้ผ่านทางประกาศกเยเรมีย์ แนะนำ
เพื่อจะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข “ก่อนจะพูด จงรู้จักฟัง”

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2021 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา                           ฮชย 14:2-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านเถิดท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำที่จะพูดมาด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลพระองค์ว่า “โปรดทรงลบล้างความผิดทั้งหมด และทรงรับสิ่งที่ดี ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำคำสรรเสริญจากปากมาถวายแทนโคเพศผู้ อัสซีเรียจะไม่ช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ขี่ม้าอีก จะไม่เรียกสิ่งที่มือของข้าพเจ้าได้สร้างขึ้น อีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย’ เพราะลูกกำพร้าพบพระกรุณาในพระองค์”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เราจะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างสำหรับอิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน กิ่งก้านของเขาจะแผ่ขยาย เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน เขาทั้งหลายจะกลับมานั่งอยู่ใต้ร่มเงาของเรา เขาจะปลูกข้าวสาลีอีก จะทำให้เถาองุ่นผลิตผลอุดม มีชื่อเสียงเหมือนเหล้าองุ่นแห่งเลบานอน เอฟราอิมจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพอีก เราเองจะตอบและดูแลเขา เราเป็นเหมือนต้นไซเปรสใบเขียวสดอยู่เสมอ ท่านจะได้รับผลของท่านจากเรา
     ผู้มีปรีชาพึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเที่ยงธรรม ผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                            มก 12:28-34
     เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่น ๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้ ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย

 

ข้อคิด
     ความรัก ไม่สามารถ ใช้สติปัญญา เพื่อหาคำตอบ แต่จำเป็นต้องมอบหัวใจ เพื่อเรียนรู้ พระเยซูเจ้าทำให้ธรรมาจารย์ ผู้มั่งคั่งในความรู้ ความสามารถ ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การรักพระเจ้าสุดจิตใจ
สุดความเข้าใจ กำลังความสามารถ และรักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักตนเอง มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือ
เครื่องสักการบูชาใด ๆ ทั้งสิ้น ประกาศกโฮเชยาห์ ย้ำเตือนอิสราเอล ประชากรของพระเจ้า
ให้เห็นว่า แม้พวกเขาจะไม่ซื่อสัตย์ในการปฎิบัติต่อพระเจ้า แต่ความรักของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่า พระองค์ไม่ได้ต้องการเครื่องบูชามากองถวาย แต่ต้องการร่างกาย จิตใจ ที่พร้อมยอมกลับใจ
ดำเนินชีวิตในหนทางแห่งความจริง ความถูกต้อง

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2021 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือพงศาวดาร ฉบับที่สอง                       2 พศด 36:14-16,19-23
     บรรดาหัวหน้าชาวยูดาห์ สมณะ และประชากรทำบาปมากยิ่ง ๆ ขึ้นตามแบบอย่างความชั่วร้ายของบรรดาชนต่างชาติ ทำให้พระวิหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มนั้นเป็นมลทิน องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษทรงส่งผู้ถือสารของพระองค์มาเตือนเขาทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง เพราะทรงพระเมตตาต่อประชากรและต่อที่ประทับของพระองค์ แต่เขาเหล่านั้นเยาะเย้ยผู้ถือสารของพระเจ้า ดูหมิ่นพระวาจา และหัวเราะเยาะบรรดาประกาศก จนกระทั่งองค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้วประชากรของพระองค์อย่างยิ่ง ไม่มีทางแก้ไข
     พระองค์ทรงเผาพระวิหารของพระเจ้า ทรงทำลายกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม จุดไฟเผาอาคารบ้านเรือนทั้งหมด และทำลายสิ่งของที่มีค่าทั้งปวง พระองค์ทรงกวาดต้อนทุกคนที่รอดชีวิตไม่ถูกฆ่าไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน เขาเหล่านี้ได้เป็นทาสรับใช้พระองค์และพระราชวงศ์จนกระทั่งอาณาจักรเปอร์เซียขึ้นมีอำนาจปกครองแทน และดังนี้พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ประกาศกเยเรมีย์ประกาศไว้จึงเป็นความจริงว่า แผ่นดินจะร้างอยู่เป็นเวลาเจ็ดสิบปีเพื่อชดเชยการหยุดพักในปีที่เจ็ดที่เขาไม่ได้ปฏิบัติมาหลายครั้ง
ปีแรกในรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พระวาจาที่ตรัสโดยประกาศกเยเรมีย์เป็นความจริง จึงทรงดลใจกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียให้ทรงประกาศไปทั่วพระราชอาณาจักร และมีพระราชสาสน์เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยว่า “กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียตรัสว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ประทานอาณาจักรทั้งหลายบนแผ่นดินแก่เรา และพระองค์ทรงบัญชาให้เราสร้างพระวิหารถวายพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูดาห์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับทุกคนที่เป็นประชากรของพระองค์ และให้เขากลับขึ้นไปเถิด’”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส      อฟ 2:4-10
      พี่น้อง พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ได้ทรงสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ต่อเรา เมื่อเราตายไปแล้ว เพราะการล่วงละเมิด พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เรากลับมีชีวิตกับพระคริสตเจ้า ท่านได้รับความรอดพ้นก็เพราะพระหรรษทาน พระองค์โปรดให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเยซู โปรดให้เรามีที่นั่งในสวรรค์พร้อมกับพระองค์ท่าน เพื่อจะได้ทรงแสดงพระหรรษทานอันอุดมล้นเหลือของพระองค์แก่มนุษย์ทุกยุคสมัยในอนาคต โดยทรงพระกรุณาต่อเราในพระคริสตเยซู ท่านได้รับความรอดพ้นเพราะพระหรรษทานอาศัยความเชื่อ ความรอดพ้นนี้มิได้มาจากท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า มิใช่จากการกระทำใดๆของท่าน เพื่อมิให้ใครโอ้อวดตนได้ เรานั้นเป็นผลงานของพระองค์ ถูกสร้างมาในพระคริสตเยซูเพื่อให้ประกอบกิจการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดล่วงหน้าให้เราปฏิบัติ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                              ยน 3:14-21
     เวลานั้น พระเยซูตรัสกับนิโคเดมัสว่า “โมเสสได้ยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงได้ประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือ ความสว่างได้เข้าในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่าง และไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อการกระทำของเขานั้นจะปรากฏว่าได้กระทำเดชะพระเจ้า’


ข้อคิด
     ความเมตตา ที่สูงค่า..ไม่เลือกผู้รับ ไร้ขอบเขต พระวรสารนักบุญยอห์นบันทึก บทสนทนา ระหว่างพระเยซูเจ้าและนิโคเมัส แม้นว่า มนุษย์จะต้องถูกลงโทษ เพราะ การไม่ใส่ใจในคุณค่าของความสว่าง ตีตัวออกห่าง ด้วยการประพฤติผิด ใช้ชีวิตในความมืด แต่ความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ทรงปรากฎให้เห็น โดยการมอบพระบุตรเป็นแสงสว่าง เพื่อช่วย ผู้ที่มีความเชื่อให้รอดพ้นจากบาปผิดที่ติดยึดในชีวิต จดหมายนักบุญเปาโล ย้ำเตือนถึง.. ความเมตตาของพระเจ้า ที่โปรดประทานพระหรรษทานให้กับผู้มีความเชื่อ มิใช่เพราะความเก่งกล้า สามารถของมนุษย์ในการเข้าหาพระเจ้า แต่เป็นเพราะ ความรักของพระเจ้า ที่ปรารถนา
ให้มนุษย์ทุกคนทำสิ่งที่ดีงาม

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม 2021 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา                             ฮชย 6:1-6
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด พวกเราจงกลับไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้เรา อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น วันที่สามจะทรงทำให้เราลุกขึ้น แล้วเราจะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเราจงรู้จัก จงรีบรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด พระองค์จะเสด็จมาอย่างแน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝน เหมือนฝนต้นฤดูใบไม้ผลิที่รดพื้นแผ่นดิน”
     “เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดีกับท่าน ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอย่างไรดีกับท่าน ความรักของท่านเป็นเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนน้ำค้างที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้น เราจึงใช้บรรดาประกาศก ให้ทุบเขาทั้งหลายจนแหลกลาญ เราใช้คำพูดจากปากของเราฆ่าเขา คำพิพากษาของเราจะออกมาเหมือนแสงสว่าง เพราะเราต้องการความรักมั่นคง ไม่ประสงค์การถวายบูชา เราต้องการการรู้จักพระเจ้า มากกว่าเครื่องเผาบูชา”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 18:9-14
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’ ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

 

ข้อคิด
     ดูคนให้ถูก แต่อย่า “ดูถูก”..คน คนที่คิดว่าตนทำดี แล้วไปดูถูก เหยียดหยามคนอื่น พระเยซูเจ้า ทรงเล่าอุปมา เพื่อเตือนให้รู้ว่า..“ใครที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง แต่ใครที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” เสียงของพระเจ้าผ่านทางประกาศกโฮเชยาห์ ป่าวประกาศถึงความถ่อมตน ที่พระเจ้าต้องการ คือ “ความรักมั่นคง” พระองค์ไม่ประสงค์เครื่องบูชา แต่ทรงปรารถนา การรู้จักพระเจ้า และรักพระองค์ ก่อนสิ่งอื่นใด

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2021 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                            อสย 65:17-21
     พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ จะไม่มีผู้ใดคิดถึงและจดจำเรื่องราวในอดีตอีก แต่จงร่าเริงและยินดีเสมอในสิ่งซึ่งเรากำลังจะสร้างขึ้น เพราะเรากำลังจะสร้างกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และสร้างประชากรของเมืองนั้นให้เป็นความชื่นบาน เราจะยินดีเพราะกรุงเยรูซาเล็ม และร่าเริงเพราะประชากรของเรา จะไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงร้องไห้ และเสียงคร่ำครวญในเมืองนั้นอีก ที่นั่นจะไม่มีทารกที่มีชีวิตเพียงสองสามวัน หรือคนชราที่ตายก่อนถึงกำหนด เพราะคนหนุ่มที่สุดจะตายเมื่อมีอายุหนึ่งร้อยปี ผู้ที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปีจะนับได้ว่าเป็นผู้ถูกสาปแช่ง เขาจะสร้างบ้านและจะเข้ามาอาศัย จะปลูกสวนองุ่นและจะกินผล”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                             ยน 4:43-54
     หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์เคยทรงประกาศไว้ว่า ประกาศกมักไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำต่างๆ ของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย
     พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคยทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่นั่น ข้าราชการคนหนึ่งมีบุตรป่วยหนักอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา จึงเดินทางจากไป ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ คนรับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว เขาซักถามถึงเวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้น คนรับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย” บิดาจึงรู้ว่านั่นเป็นเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ
     พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี

 

ข้อคิด
     การยืนหยัด ในความคิด เราอาจไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตใครได้แต่หลายครั้งที่ การยืนหยัดในความดี ที่ได้ทำกลับ นำคนให้ “เปลี่ยนแปลง” ชาวกาลิลี เปลี่ยนท่าที จากการปฎิเสธพระเยซูเจ้า มาสู่ ผู้มีความเชื่อ เมื่อเห็นความดี ที่พระองค์ได้ทำ ท่าที ที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ ของข้าราชการ ทำให้พระเยซูเจ้า สามารถ รักษาบุตรของเขา ให้กลับมามี สุขภาพดีตามเดิม เสียงของประกาศกอิสยาห์ ร้องเตือน ความชื่นชมยินดี เป็นท่าทีพื้นฐานเพื่อให้งานของพระเจ้าสำเร็จเป็นไป..นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงออกถึง การมีความเชื่อ ไว้วางใจในพระเจ้า ผู้ทรงกระทำทุกสิ่ง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown