Logo

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2020 วันจันทร์ในอัฐมวารปัสกา

หมวด: เดือนเมษายน 2020
เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
ฮิต: 862

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 2:14,22-32
     เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนและพูดกับประชาชนด้วยเสียงดังว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวยูเดีย และท่านที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงตั้งใจฟังวาจาของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
     ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำนาจทำอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และเครื่องหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำการเหล่านี้ในหมู่ท่านทั้งหลายดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในมือของท่านตามที่พระเจ้ามีพระประสงค์และทรงทราบ ล่วงหน้า ท่านใช้มือของบรรดาคนอธรรมประหารชีวิตพระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำนาจแห่งความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อำนาจอีกต่อไปไม่ได้ ดังที่กษัตริย์ดาวิดตรัสถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ดังนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี ปากของข้าพเจ้ากล่าวถ้อยคำแสดงความเกษมเปรมปรีดิ์ ร่างกายที่ตายได้ของข้าพเจ้า พำนักอยู่ในความหวัง เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนผู้ตาย และจะไม่ทรงปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย พระองค์ทรงสอนข้าพเจ้าให้รู้จักทางแห่งชีวิต พระองค์จะทรงทำให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์’

     พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านตรงๆ ว่า กษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ ที่ฝังพระศพของพระองค์ยังคงอยู่ในหมู่เราจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงเป็นประกาศกด้วย ทรงทราบว่าพระเจ้าทรงปฏิญาณและทรงสัญญาว่าจะทรงให้เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งของพระองค์ประทับบนพระบัลลังก์สืบต่อมา กษัตริย์ดาวิดทรงเห็นล่วงหน้า จึงตรัสถึงเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าดังนี้ พระองค์มิได้ทรงถูกทอดทิ้งไว้ในแดนผู้ตาย และร่างกายของพระองค์จะไม่เน่าเปื่อย พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพ เราทุกคนเป็นพยานได้

 

สดด 16:1-2,7-8,9-10,11

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 28:8-15
     เวลานั้น สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์
     ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น”
     เมื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่บรรดาหัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำให้ท่านพ้นโทษ”
ทหารได้รับเงินและทำตามคำแนะนำ เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้

 

ข้อคิด
     สตรีสองคนเป็นผู้ที่มีหัวใจแห่งความผูกพันเป็นเอกจึงได้เป็นบุคคลที่มีหัวใจพร้อมเป็นชุดแรกที่มีประสบการณ์พบ "พระเยซูเจ้า" ส่วนอัครสาวกที่ยังมีตำแหน่งฐานะแห่งความเป็นอัครสาวก เป็นผู้รู้คำสอนของพระเยซูเจ้าเป็นเอกได้เป็นบุคคลชุดต่อๆ มา ที่จะมีประสบการณ์พบ "พระเยซูเจ้า" ...พระเยซูเจ้าผู้กลับเป็นขึ้นมามาพบเราใน "หัวใจ" ของเรามิใช่เพราะเรามีอำนาจมีความเก่ง หรือมีความเข้าใจ หรือเพราะเรามีฐานะในสังคมพระศาสนจักร แต่เพราะเรามี "หัวใจ" แห่งความผูกพันกับพระองค์ ดังที่สตรีสองคนเป็นแบบอย่าง