Logo

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม 2017 สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา

หมวด: เดือนกรกฎาคม 2017
เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี่
ฮิต: 518

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                    1 พกษ 3:5-12
     คืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่กษัตริย์ซาโลมอนในพระสุบิน ที่เมืองกิเบโอน พระเจ้าตรัสว่า “จงขอสิ่งที่ท่านอยากให้เราประทานแก่ท่าน” กษัตริย์ซาโลมอนทูลตอบว่า “พระองค์ทรงสำแดงความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ต่อดาวิดพระบิดาข้ารับใช้พระองค์ เพราะพระบิดาทรงดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ ความชอบธรรมและด้วยใจซื่อตรง พระองค์ยังทรงรักษาความรักมั่นคงยิ่งใหญ่นี้ต่อพระบิดาโดยประทานให้บุตรคนหนึ่งได้สืบพระบัลลังก์ ดังที่เป็นอยู่ในวันนี้
บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตั้งข้าพเจ้าขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากดาวิดพระบิดา แต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องปกครองประชากรที่ทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นประชากรจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ขอประทานความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะได้ปกครองประชากรของพระองค์อย่างยุติธรรม และรู้จักวินิจฉัยแยกความดีจากความชั่ว ถ้าพระองค์ไม่ประทาน ใครเล่าจะปกครองประชากรจำนวนมากเช่นนี้ของพระองค์ได้”
องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่กษัตริย์ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ พระเจ้าจึงตรัสตอบว่า “เพราะท่านได้วอนขอเช่นนี้ แทนที่จะวอนขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่ง หรือขอให้เราทำลายชีวิตของศัตรู แต่ได้ขอความเข้าใจเพื่อจะตัดสินอย่างถูกต้อง เราจะทำตามที่ท่านขอ เราจะให้ความเข้าใจและปรีชาญาณในการตัดสินอย่างที่ผู้ใดไม่เคยมีมาก่อน หรือจะมีในภายหลัง”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม         รม 8:28-30
     พี่น้อง เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะผู้ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้านั้น พระองค์ทรงกำหนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรคนแรกในบรรดาพี่น้องจำนวนมาก ผู้ที่ทรงกำหนดไว้แล้วนั้นพระองค์ทรงเรียก ผู้ที่ทรงเรียกนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม ผู้ที่ทรงบันดาลให้ชอบธรรมนั้น พระองค์ประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 13:44-52
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อนาแปลงนั้น
อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น
     อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่” บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว”
พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”

 

ข้อคิด
     อุปมาเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์ชวนเราให้เป็นคนมีปัญญา รู้จักความเป็นจริงของชีวิตว่ามีปลายทางอยู่ที่ใด ปัญญาหรือปรีชาญาณมีค่ามากกว่าทรัพย์ ลาภยศ เป็นความเชี่ยวชาญในการดำเนินชีวิต ทำสิ่งใดแล้วไม่พลาด ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง ปรีชาญาณเช่นนี้ต้องทูลขอจากพระเจ้าเท่านั้นจึงจะมี พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของปรีชาญาณแท้จริง ดังนั้นแม้บางสิ่งแตกสลายแต่ถ้าเราทูลขอจากพระเจ้า พระองค์ทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ที่สุดปรีชาญาณแท้จริงนำเราให้เห็นคุณค่าและตรงเข้าไปรักพระเจ้าเพื่อไม่ว่า ชีวิตจะเป็นเช่นไร พระองค์ทรงเปลี่ยนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ในที่สุด