ค้นหาข้อมูล :

พระคุณเจ้ายวง นิตโย
 

สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6 ได้ทรงสถาปนาพระฐานานุกรมศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1965 สำหรับมิสซังกรุงเทพฯ ได้รับการยกฐานะเป็นอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ และประมุขมิสซังก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอัครสังฆราชของอัครสังฆมณฑลด้วย

วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1966 พระคุณเจ้าได้ประกอบพิธีเสกสามเณราลัยนักบุญยอแซฟอย่างสง่า และเปิดเป็นทางการ มีสัตบุรุษกว่า 10,000 คนมาร่วมในพิธีนี้

  วันพุธที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1966 เวลา 17.00 น.   ได้มีพิธีสถาปนาพระอัครสังฆราช ยวง นิตโย และอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ  อย่างเป็นทางการ   ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก โดยมี ฯพณฯ อันเยโล เปโดรนี พระสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธี พระอัครสังฆราชยวงถวายมหาบูชามิสซาร่วมกับพระสังฆราชทุกองค์ในปร ะเทศไทย  ท่ามกลางบรรดาพระสงฆ์, ผู้แทนคณะนักบวช, ผู้แทนคณะกิจการคาทอลิก และสัตบุรุษจากวัดต่างๆ ม าร่วมพิธีกันอย่างเนืองแน่น หลังมิสซาพระสมณทูตอ่านสารตราตั้งสถาปนาพระฐานานุกรมในประเทศไทย แล้วเชิญพระอัครสังฆราชยวง นิตโย ขึ้นนั่งบัลลังก์ ต่อจากนั้นบรรดาพระสงฆ์, ผู้แทนคณะนักบวชต่างๆ ,คณะกิจการคาทอลิกและสัตบุรุษ เข้ามาแสดงความคาระต่อท่าน ในพิธีนี้ยังได้มีการมอบรถยนต์ 1 คัน เป็นของขวัญแด่พระอัครสังฆราชยวงด้วยหลังพิธีมีการเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีบริเวณอัสสัมชัญ

 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 กรุงโรมประกาศตั้งสังฆมณฑลนครสวรรค์ โดยแยก 12 จังหวัดออกจากอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ และแต่งตั้งคุณพ่อมีแชล ลังเยร์เจ้าอาวาสวัดเซนต์หลุยส์ เป็นประมุขสัง ฆมณฑลนครสวรรค์ พระคุณเจ้ายวงได้เป็นผู้อภิเษกคุณพ่อลังเยร์เป็นพระสังฆราช ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1967

สร้างสามเณราลัยใหญ่แสงธรรม

  สามเณราลัยใหญ่ที่ปีนังจะยุบเลิกกิจการบ้านเณรใหญ่ ทางสภาพระสังฆราชแห่งประเทศไทยได้ พิจารณาสร้างบ้านเณรใหญ่ในประเทศไทยพระอัครสังฆราชยวงได้อนุมัติมอบที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งตัดมาจากทุ่งนาของวัดนครชัยศรี ริมทางถนนเพชรเกษม  เพื่อสร้างบ้านเณรใหญ่ วิทยาลัยแสงธรรม (อำเภอสามพราน จั งหวัดนครปฐม) ได้ทำการปรับพื้นที่ และลงมือก่อสร้างในปี ค.ศ. 1969 สร้างเสร็จและเปิดทำการสอนในปี ค.ศ. 1972

ในระหว่างปี ค.ศ. 1965-1973 พระคุณเจ้ายวงได้เป็นผู้เปลี่ยนโฉมหน้าโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ โดยการอนุมัติสร้างอาคารใหม่ เพื่อขยายและปรับปรุงกิจการของโรงพยาบาล พระคุณเจ้าได้เป็นผู้เสกและวางศิลาฤกษ์อาคารใหม่หลังแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1973

ผู้ริเริ่มยุคใหม่

ในประวัติพระศาสนจักรไทย

   ถือได้ว่าพระอัครสังฆราชยวงเป็นผู้ริเริ่มยุใหม่ในประวัติพระศาสนจักรไทย   แต่ก่อนใครจะสร้าง โบสถ์ตามหมู่บ้านใหม่ๆ หรือที่ทรุดโทรมจำเป็นต้องสร้างใหม่ ตลอดจนโรงเรียน บ้านพักพระสงฆ์ นักบวชผู้แพร่ธรรมก็ไม่มีที่พึ่ง ต้องไปเรี่ยไรตามบ้านสัตบุรุษจากที่ต่างๆ และเสียเวลามากมายในการเดินทางแทน ที่จะทำงานในวัดของตน นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 เป็นต้นมา พระคุณเจ้ายวงมิเพียงแต่อนุมัติในการสร้าง โบสถ์เท่านั้น แต่ยังได้ออกเงินสมทบทุนในการสร้างโบสถ์ตามควา มสามารถแห่งการเงินของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ  และด้วยเหตุนี้จึงได้มีโบสถ์หลังใหม่ที่สวยงามและถาวรเกิดขึ้น   ได้แก่  วัดนักบุญเทเรซา หนองจอก, ว ัดพระชนนีของพระเป็นเจ้า รังสิต, วัดพระตรีเอกภาพ หนองหิน, วัดนักบุญหลุยส์มารีย์ บาง แค, วัดนักบุญเปโตร สามพราน, วัดอัครเทวดามีคาแอล สะพานใหม่, วัดศีลมหาสนิท ตลิ่งชัน

ลาออกจากตำแหน่งอัครสังฆราช

เนื่องจากสุขภาพไม่สู้ดี และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าได้ รับหน้าที่สืบต่อไป พระคุณเจ้าได้ถวายใบลาเกษียณต่อสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6 ในปี ค.ศ. 1973 และพระคุณเจ้าไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู ได้รับตำแหน่งประมุขมิสซังสืบแทนตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1973 รวมเ วลาแห่งการปกครองดูแลอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เป็นระยะเวลา 10 ปีพอดี (1963-1973) นับเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของความเปลี่ยนแปลง         และต้องถือเป็นความโชคดีของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ที่พระเป็นเจ้าทรงพระเมตตาส่งพระคุณเจ้ายวงมาเป็นผู้ปกครองดูแลในสมัยนั้น