![]() | ||||||||
![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ![]() | ||
![]() | ![]() | |||||||
ที่มา จาก เว็บหอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ | ||||||||
การแพร่ธรรมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระสังฆราชการ์โนลต์ (Garnault 1786-1811) ต้องนับว่าเป็นสมัยฟื้นฟูมิสซังสยามโดยแท้ พระสังฆราชการ์โนลต์เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ในปลายปี ค.ศ. 1795 หรือต้นปี ค.ศ. 1796 เมื่อท่านเดินทางมาถึงในเวลานั้น มีคริสตังอยู่ในเมืองหลวงประมาณ 1,000 คน คริสตัง 400 คน เป็นพวกดั้งเดิมที่อยู่ในประเทศสยาม และอีก 600 คน เป็นพวกที่ลี้ภัย ในปี ค.ศ. 1796 นั้นเอง พระสังฆราชการ์โนลต์ได้จัดตั้งโรงพิมพ์ขึ้นที่วัดซางตาครู้ส โรงพิมพ์แห่งนี้ได้พิมพ์หนังสือคำสอน ซึ่งนับเป็นหนังสือเล่มแรกที่พิมพ์ขึ้นในประเทศสยาม หนังสือเล่มนี้พิมพ์ด้วยอักษรโรมัน แต่อ่านออกเสียงเป็นภาษาไทย หรือที่เรียกว่า "ภาษาวัด" หนังสือนี้มีชื่อว่า คำสอนคริสตัง (Khanson Christang) นอกจากนี้พระสังฆราชการ์โนลต์ยังได้ก่อตั้งบ้านเณรขึ้น ใช้ชื่อว่า บ้านเณรซางตาครู้ส เพื่อเป็นสถานฝึกอบรมชายหนุ่มที่สมัครใจจะบวชเป็นพระสงฆ์ และยังได้ฟื้นฟูคณะภคินีรักไม้กางเขนขึ้นอีกด้วย ตลอดสมัยที่พระสังฆราชการ์โนลต์เป็นพระสังฆราชท่านได้ทำพิธีบวชพระสงฆ์ 8 องค์ ในสมัยพระสังฆราชฟลอรังส์ (Florens 1811-1834) มิชชันนารีมีจำนวนลดน้อยลง อันเนื่องมากจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ต้องรอคอยเป็นเวลานานถึง 14 ปี จึงมีโอกาสได้ต้อนรับมิชชันนารีองค์แรก และต้องรอคอยอีก 4 ปี จึงได้ต้อนรับมิชชันนารีองค์ที่สอง พระสังฆราชฟลอรังส์ได้ย้ายบ้านเณรจากวัดซางตาครู้สมาอยู่ที่วัดอัสสัมชัญในปี ค.ศ. 1820 และดำรงตำแหน่งอธิการของบ้านเณรด้วย นอกจากสร้างบ้านเณรแล้ว ท่านยังได้สร้างวัดอัสสัมชัญขึ้นในปี ค.ศ. 1820 ในสมัยของพระสังฆราชฟลอรังส์นี้ พระศาสนจักรในประเทศสยามไม่ได้ก้าวหน้าเท่าไรนัก สาเหตุมาจากการขาดแคลนมิชชันนารี การแพร่ธรรมส่วนใหญ่กระทำในหมู่ของชาวจีน ในปี ค.ศ. 1827 พระสันตะปาปาเลโอ ที่ 12 ได้ออกกฤษฎีกากำหนดให้ประมุขมิสซังสยามมีอำนาจการปกครองเหนือประเทศสิงคโปร์ และอาณานิคมของอังกฤษ ในสมัยพระสังฆราชกูรเวอซี (Courvezy 1834-1841) จำนวนคริสตังและมิชชันนารีได้เพิ่มมากขึ้น ท่านจึงได้ขอให้ทางกรุงโรมแต่งตั้งพระสังฆราชผู้ช่วยองค์หนึ่ง ซึ่งทางกรุงโรมก็เห็นสมควร
และได้แต่งตั้งพระสังฆราชปัลเลอกัว (Pallegoix) เป็นพระสังฆราชผู้ช่วย ได้รับการ อภิเษกวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1838 ต่อมาโดยอาศัยเอกสารฉบับหนึ่งจากกรุงโรม ชื่อว่า "Universi Dominici" ลงวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1841 กรุงโรมได้แบ่งแยกเขตปกครองในส่วนของประเทศมาเลเซียออกจากส่วนของมิสซังสยาม โดยก่อตั้งเป็น 2 มิสซังแยกจากกัน คือ มิสซังสยามตะวันออก ได้แก่ ประเทศสยามและประเทศลาว มีพระสังฆราชปัลเลอกัวเป็นผู้แทนพระสันตะปาปา ทำหน้าที่ปกครอง และมิสซังสยามตะวันตก ได้แก่ แหลมมาละยา, เกาะสุมาตรา
และประเทศพม่าทางใต้ มีพระสังฆราชกูรเวอซีเป็นผู้แทนพระสันตะปาปาทำหน้าที่ปกครอง มิชชันนารีเหล่านี้ได้รับพระบรมราชานุญาตให้กลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่งในปี
ค.ศ. 1851 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ในปี ค.ศ. 1856 ประเทศสยามได้ทำสนธิสัญญากับประเทศฝรั่งเศส สนธิสัญญานี้อนุญาตให้ชาวสยามมีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา อนุญาตให้บรรดามิชชันนารีประกาศศาสนาโดยเสรี ให้สร้างบ้านเณร ก่อตั้งโรงเรียน และโรงพยาบาล และสามารถเดินทางไปในที่ต่างๆ ในประเทศได้ สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 9 ทรงทราบเรื่อง จึงทรงมีพระสมณสาสน์ฉบับแรกลงวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1852 ส่วนฉบับที่สองลงวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1861
มาแสดงความขอบพระทัยที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อบรรดาคริสตังไทยเป็นอย่างดียิ่ง ตลอดสมัยการปกครองของพระสังฆราชปัลเลอกัว มิสซังได้รับสันติสุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อมิสซังและต่อพระสังฆราช พระองค์ได้มีพระบรมราชโองการให้จัดงานศพของพระสังฆราชอย่างสมเกียรติที่สุด พระสังฆราชเวย์มีความรู้ความสามารถทางด้านภาษา ท่านจึงได้นำหนังสือ "สัพะ พะจะนะ พาสา ไท" ของพระสังฆราชปัลเลอกัวมาแก้ไขปรับปรุงใหม่ นับเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่มีคุณค่าทั้งต่อมิสซังสยามและต่อประเทศไทย หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า "ศริพจน์ภาษาไทย์" พิมพ์ในปี ค.ศ. 1896 อุปสรรคประการสำคัญในการทำงานประกาศศาสนาในสมัยของพระสังฆราชเวย์ ได้แก่ การเผชิญหน้ากับสมาคมลับของชาวจีน ซึ่งเรียกกันว่า "อั้งยี่" หรือ "ตั่วเฮีย" ทำให้การประกาศศาสนากับชาวจีนต้องประสบกับปัญหาอยู่เสมอๆ นอกจากนี้ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งคือ ประเทศสยามมีปัญหาทางการเมืองกับประเทศฝรั่งเศสด้วยเรื่องการเรียกร้องดินแดนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำโขงในปี ค.ศ. 1894 (ร.ศ. 112)
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชาวสยามถือว่าชาวฝรั่งเศสเป็นศัตรู รวมทั้งคริสตศาสนาซึ่งเป็นศาสนาของชาวฝรั่งเศสก็เป็นศาสนาของศัตรูด้วย ประเทศสยามและประเทศฝรั่งเศสต้องเผชิญกับปัญหาทางการเมืองนี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 1907 ประเทศสยามได้ยกดินแดนพระตะบอง ศรีโสภณ และเสียมราฐ ให้แก่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งหมายความว่าตลอดช่วงสมัยของพระสังฆราชเวย์ มิสซังสยามต้องประสบกับความกดดันทางการเมืองเหล่านี้อยู่เสมอมา ต้องทำงานกับประชาชนซึ่งมองดูมิชชันนารีด้วยสายตาแห่งความเป็นศัตรู การเปลี่ยนแปลงประการหนึ่งที่ทำให้เห็นว่ามิสซังสยามเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างมากได้แก่การแต่งตั้งมิสซังลาว แยกออกจากการปกครองของมิสซังสยามในปี ค.ศ. 1889 มีพระสังฆราชกืออาส (Cuaz) เป็นผู้แทนพระสันตะปาปา ทำหน้าที่ปกครองดูแลมิสซังใหม่นี้เป็นองค์แรก นอกจากนี้พระสังฆราชเวย์ยังได้เริ่มบุกเบิกงานแพร่ธรรมไปสู่ส่วนต่างๆ ของประเทศมากขึ้นทั้งทางภาคเหนือและภาคใต้
งานต่างๆ เหล่านี้ได้รับการส่งเสริมอย่างดียิ่งและบังเกิดผลมากขึ้นในสมัยพระสังฆราชเรอเน แปร์รอส (Ren้ Perros 1909-1947) เรียกได้ว่ามิสซังสยามเจริญก้าวหน้าขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ช้าๆ แต่มั่นคง ในสมัยของพระสังฆราชแปร์รอสนี้เอง ได้มีการขยายงานแพร่ธรรมออกไปอย่างกว้างขวางทั้งทางภาคเหนือและภาคใต้ เขตปกครองทางราชบุรีได้ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นดินแดนอิสระ
และได้มอบให้พระสงฆ์คณะซาเลเซียนเป็นผู้ทำงานในเขตใหม่นี้ในปี ค.ศ. 1930 ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี มิสซังราชบุรีได้รับการยกขึ้นเป็นกิ่งมิสซังมีพระสังฆรักษ์เป็นผู้ปกครอง (Apostolic Prefecture) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1934 และที่สุดได้รับการยกขึ้นอีกครั้งเป็นมิสซังหรือเทียบสังฆมณฑลเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1941 เขตปกครองทางจันทบุรีก็ได้รับการยกขึ้นเป็นมิสซังหรือเทียบสังฆมณฑลเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1944 พระสังฆราชแปร์รอสมีความคิดที่ว่าเมื่อมีวัดคาทอลิกที่ไหน ก็ต้องมีโรงเรียนที่นั่นด้วย เพื่อเป็นสถานที่สำหรับอบรมสั่งสอน และให้การศึกษาแก่ลูกหลานคริสตังและลูกคนต่างศาสนา ดังนั้นในสมัยของท่านจึงมีโรงเรียนต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะโรงเรียนของวัด นอกจากนี้ยังมีคณะนักบวชต่างๆ จากต่างประเทศเดินทางเข้ามาทำงานอย่างมากมายหลายคณะ เช่น คณะอูรสุลิน เข้ามาในปี ค.ศ. 1924 จัดตั้งโรงเรียนมาร์แตร์เดอี และโรงเรียนวาสุเทวีขึ้นที่กรุงเทพฯ จัดตั้งโรงเรียนเรยีนาเชลีขึ้นที่เชียงใหม่ ต่อมาในปี ค.ศ. 1925 ภคินีคณะคาร์เมไลท์เดินทางเข้ามาทำงานในด้านต่างๆ คณะซาเลเซียนเข้ามาในปี ค.ศ. 1927 เป็นต้น การเข้ามาของคณะนักบวชต่างๆ เหล่านี้ ทำให้งานทางด้านการศึกษาเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้พระสังฆราชแปร์รอสมีบุคลากรเพิ่มขึ้น และสามารถขยายงานออกไปยังที่ต่างๆ ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สงครามอินโดจีนซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองก็เป็นอุปสรรค สำคัญที่ทำให้งานประกาศพระศาสนาต้องหยุดชะงักลง ชาวไทยมองดูมิชชันนารีฝรั่งเศสและคริสตศาสนาเป็นศัตรูอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้มีเหตุการณ์รุนแรงมาก คณะเลือดไทยซึ่งต่อสู้อย่างเต็มที่กับอิทธิพลของฝรั่งเศสในประเทศไทยได้ทำหน้าที่ในการปกป้องประเทศคริสตศาสนาอ่อนแอลงมาก บรรดามิชชันนารีฝรั่งเศสหลายองค์ต้องเดินทางออกนอกประเทศ และถูกห้ามทำการเผยแพร่ศาสนา เหตุการณ์ในครั้งนั้นคริสตชนชาวไทยหลายคนถูกจับ พระสงฆ์ 5 องค์ ถูกจำคุกเพราะความเข้าใจผิด คริสตชนบางคนถูกฆ่าตาย แต่พระสังฆราชแปร์รอสก็มิได้ท้อถอย พยายามที่จะทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น คอยดูแลเอาใจใส่บรรดามิชชันนารีและพระสงฆ์พื้นเมืองไม่ให้เสียกำลังใจ มิสซังสยามได้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์ในครั้งนั้นมาได้ด้วยดี เนื่องจากความชราภาพ ท่านได้ลาออกจากประมุขมิสซังในปี ค.ศ. 1947 และเลือกไปทำงานกับกลุ่มคริสตชนเล็กๆ ที่เชียงใหม่ต่อไป | ||||||||
ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010 | ||||||||
![]() | ||||||||