ที่มา จาก เว็บหอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ  
                               โดย ...บาทหลวงสุรชัย  ชุ่มศรีพันธุ์

เหตุการณ์สำคัญ ๆ ของการแพร่ธรรมในกรุงศรีอยุธยา

สมณกระทรวงโปรปากันดา ฟีเด ได้จัดส่งพระสังฆราชชุดแรก 3 องค์จากพระสงฆ์คณะนี้ เดินทางมาทำงานในฐานะผู้แทนพระสันตะปาปา ในภูมิภาคตะวันออกไกลเป็นชุดแรก พระสังฆราชแต่ละองค์ถูกกำหนดให้เป็นผู้แทนพระสันตะปาปาของประเทศจีน, โคจินจีน และตังเกี๋ยเป็นหลัก แต่ประเทศเหล่านี้กำลังมีการเบียดเบียนศาสนาอย่างหนัก และไม่สามารถจะเดินทางเข้าไปได้อย่างเด็ดขาด บรรดาพระสังฆราชจึงต้องหยุดรออยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อรอคอยให้เหตุการณ์ต่างๆ ดีขึ้นเสียก่อน และค่อยเดินทางต่อไป ประเทศสยามเป็นประเทศที่สงบสุขและเอื้ออาทรแก่ศาสนาต่างๆ หลังจากที่พระสังฆราชและมิชชันนารีได้มองเห็นสถานการณ์ทั่วๆ ไปของประเทศสยาม และมองเห็นท่าทีที่เป็นมิตรของพระมหากษัตริย์แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นผลดีต่อการตั้งมั่นเพื่อใช้เป็นฐานในการเดินทางต่อไป เวลาเดียวกันก็เริ่มประกาศเทศนาสั่งสอนพระวรสารไปด้วย จึงตัดสินใจอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา แน่นอนที่สุดว่าการเข้ามาของพระสังฆราชเหล่านี้ย่อมทำให้พวกมิชชันนารีที่มาจากสิทธิพิเศษของปาโดรอาโดไม่พอใจและไม่ยอมรับ ปัญหาที่ตามมาซึ่งมีอยู่เสมอๆ ในทุกดินแดนของโลกด้วย
              

พระสังฆราชลังแบรต์ เดอ ลาม็อต (Lambert de la Motte) เป็นพระสังฆราชองค์แรกที่เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1662 พร้อมๆ กับ คุณพ่อยัง เดอ บูร์ช (Jean de Bourges), คุณพ่อเดดีเอร์ (Deydier) อีก 2 ปีต่อมา พระสังฆราชฟรังซัว ปัลลือ (Fran็ois Pallu) พร้อมๆ กับคุณพ่อหลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) คุณพ่อแฮงค์ (Hainques) คุณพ่อแบรงโด (Brindeau) และฆราวาสผู้ช่วยคนหนึ่งชื่อ เดอ ชาแมสซอง ฟัวซี (De Chamesson Foissy) เดินทางมาถึงประเทศสยามเช่นเดียวกันเมื่อวันที่ 27 มกราคม 1664 หลังจากได้ปรึกษาหารือกันแล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศที่พวกท่านต้องเดินทางไปรับผิดชอบ ทุกท่านเห็นว่าให้อยู่รอคอยโอกาสที่ดีกว่าที่ประเทศสยามนี้ การปกครองของประเทศสยามก็ไม่เบียดเบียนศาสนาอื่น ทั้งหมดจึงตัดสินใจอยู่ในประเทศสยามเพื่อทำงานแพร่ธรรมทันที เมื่อพวกท่านมาถึงกรุงศรีอยุธยานั้นมีพระสงฆ์มิชชันนารีชาวโปรตุเกส 10 องค์, ชาวสเปน 1 องค์ อยู่ในประเทศสยาม และมีคริสตชนทั้งหมดประมาณสองพันคน
               พระสังฆราชทั้งสองและบรรดามิชชันนารีจึงได้จัดการสัมมนาที่เรียกว่า ซีโน้ด (Synod) ขึ้นที่อยุธยา การประชุมต่างๆ ได้ตกลงวางแผนการทำงานกัน ดังจะสรุปได้ดังนี้

     1.วางแผนที่จะก่อตั้งคณะนักบวชแห่งอัครสาวกขึ้น อันประกอบไปด้วยนักบวชชาย-หญิง รวมทั้งฆราวาส โดยจะตั้งชื่อว่า คณะรักไม้กางเขนแห่งพระเยซูคริสต์ (Amateurs de La Croix de J้sus Christ) แผนนี้ได้รับการปฏิบัติเฉพาะบางส่วนเท่านั้นคือ มีการก่อตั้งคณะนักบวชหญิงพื้นเมืองคณะแรกของโลกขึ้นคือ คณะรักไม้กางเขน ผลของคณะนี้เรายังคงสามารถเห็นได้จากคณะนักบวชพื้นเมืองของสังฆมณฑลต่างๆ ในประ เทศไทย

     2.ตัดสินใจที่จะจัดพิมพ์คำสั่งสอนที่สมณกระทรวงโปรปากันดา ฟีเด ได้จัดส่งให้แก่บรรดาผู้แทนพระสันตะปาปาเหล่านี้ก่อนที่จะออกเดินทาง โดยเฉพาะคำสั่งที่ออกมาในปี ค.ศ. 1659 ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักศึกษา นอกจากนี้ยังออกคำสั่งสอนแก่บรรดามิชชันนารีอีกหลายฉบับด้วย

     3. ตกลงใจที่จะก่อตั้งบ้านเณร เพื่อผลิตพระสงฆ์พื้นเมืองอันเป็นเป้าหมายแรกที่พวกท่าน มาที่นี่ การทำงานในประเทศสยามตามโครงการต่างๆ เหล่านี้ ประสบผลเป็นอย่างดีด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระเจ้าแผ่นดินและข้าราชการสยาม ประกอบกับประเทศสยามอยู่ในทำเลที่เหมาะสม ความเจริญทางด้านศาสนาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พระสังฆราชปัลลือและพระสังฆราชลังแบร์ตเห็นว่าหากพวกท่านไม่สามารถมีอำนาจปกครองดูแลท้องถิ่นนี้อย่างเป็นทางการแล้ว (Jurisdiction) ปัญหาการไม่ยอมรับอำนาจการปกครองนี้ ก็จะเกิดขึ้นกับบรรดามิชชันนารีที่ขึ้นต่อสิทธิพิเศษของประเทศโปรตุเกสและประเทศสเปน พวกท่านจึงได้ขออำนาจจากทางกรุงโรมให้มีอำนาจการปกครองเหนือประเทศสยาม หลังจากที่กรุงโรมได้พิจารณาเรื่องนี้อยู่นานด้วยความรอบคอบ กรุงโรมก็ได้ตั้งมิสซังสยามขึ้นด้วยเอกสารทางการที่ชื่อว่า "Speculatores" ของวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1669 ผู้แทนพระสันตะปาปาผู้ทำหน้าที่ดูแลมิสซังใหม่นี้ ได้แก่ พระสังฆราชหลุยส์ ลาโน ได้รับการแต่งตั้งและอภิเษกเป็นพระสังฆราชโดยพระสังฆราชทั้งสองข้างต้นนั้น ในวันที่ 25 มีนาคม 1674 พระสังฆราชลาโนจึงเป็นพระสังฆราชองค์แรกของมิสซังสยามของเรา
               มิสซังสยามเจริญก้าวหน้าขึ้นมากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (1657-1688)พระองค์ทรงเปิดประเทศให้แก่ชาวตะวันตก และให้อิสรภาพในการเผยแพร่ศาสนาแก่บรรดามิชชันนารี ทั้งนี้เพราะเป็นนโยบายทางการเมืองที่จะเหนี่ยวรั้งอิทธิพลของชาติต่างๆ ที่อยู่ในประเทศสยามเวลานั้นด้วย งานสำคัญๆ ที่พวกมิชชันนารีฝรั่งเศสเหล่านี้ได้ทำ เช่น ก่อตั้งบ้านเณรหรือวิทยาลัยกลางขึ้นในปี ค.ศ. 1665 ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการองค์แรกของวิทยาลัยคือ คุณพ่อลาโน ซึ่งพระสังฆราชลังแบรต์กล่าวถึงคุณพ่อลาโนว่า "คนน่านิยมยกย่องที่สุดคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้จัก" บ้านเณรแห่งนี้ได้เจริญเติบโตขึ้นแม้จะมีการย้ายสถานที่อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดไปอยู่ที่ปีนัง แต่ก็นับว่าเป็นผลงานที่มีคุณค่าที่สุด เป็นเสมือนหัวใจของงานแพร่ธรรมก็ว่าได้

นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งโรงพยาบาลขึ้นในปี ค.ศ. 1669 การแพร่ธรรมได้ขยายไปตามสถานที่และเมืองต่างๆ เช่น ที่อยุธยา, ละโว้, พิษณุโลก, บางกอก, ตะนาวศรี, เกาะถลาง (ภูเก็ต) และตะกั่วทุ่ง เป็นต้น ได้มีกลุ่มคริสตชนใหม่ๆ เกิดขึ้น มีการสร้างโบสถ์อย่างสวยงามตามที่ต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว จำนวนผู้ได้รับศีลล้างบาปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากการสอนคำสอนแล้ว บรรดามิชชันนารียังต้องทำหน้าที่เป็นครูสอนให้คริสตังใหม่เหล่านั้นอ่านและเขียนภาษาไทยและภาษาลาตินอีกด้วย

 สมเด็จพระนารายณ์ให้การสนับสนุนพวกมิชชันนารีมาก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระสังฆราชและมิชชันนารีเข้าเฝ้าอย่างสง่า ได้พระราชทานที่ดินสำหรับสร้างวัดและโรงเรียน และยังได้พระราชทานวัตถุต่างๆ เพื่อใช้ในการก่อสร้างด้วย ในที่สุดประเทศสยามได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศฝรั่งเศสและกรุงโรม มีการส่งคณะทูตอันเชิญพระราชสาสน์ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส และสมเด็จพระสันตะปาปาหลายครั้ง การที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงมีพระทัยเมตตาต่อบรรดามิชชันนารีนี้ ทำให้เกิดมีความเข้าใจผิดขึ้น พระประกอบกับขุนนางไทยเริ่มหวั่นเกรงว่าอิทธิพลของขุนนางชาวกรีก คนหนึ่งที่ชื่อ คอนสแตนติน ฟอลคอน (Constantine phalcon) ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์มาก จนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ มีอำนาจแม้กระทั่งควบคุมทหารได้ จะทำให้ความมั่นคงของประเทศสั่นคลอน พระเพทราชาจึงทำรัฐประหารขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ ขับไล่พวกฝรั่งเศสออกจากประเทศ รวมทั้งได้เบียดเบียนศาสนาของชาวฝรั่งเศส นั่นคือเบียดเบียนพวกมิชชันนารีและผู้ที่ถือคริสตศาสนา เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1688-1690 หลังจากนี้ไม่นาน เมื่อพระเพทราชาเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็คืนสมบัติต่างๆ และคืนบ้านเณรให้แก่บรรดามิชชันนารีอีกครั้งหนึ่ง

 เหตุการณ์ต่อมาที่ทำให้การแพร่ธรรมของพวกมิชชันนารีประสบปัญหาอีกครั้งหนึ่งเกิดในสมัยของพระเจ้าท้ายสระ (1709-1733) พระสังฆราชและบรรดามิชชันนารีถูกห้ามไม่ให้ออกนอกพระนคร ห้ามใช้ภาษาไทยและบาลีในการสอนศาสนา ข้อห้ามต่างๆ เหล่านี้ถูกจารึกลงในแผ่นศิลาและตั้งไว้ที่หน้าวัดนักบุญยอแซฟที่อยุธยา หลักฐานบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่ามีการเบียดเบียนเกิดขึ้นในระหว่างปลายปี ค.ศ. 1743 และต้นๆ ปี ค.ศ. 1744 ด้วย จนมาถึงปี ค.ศ. 1767 ทหารพม่าบุกเข้าทำลายกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระสังฆราชบรีโกต์ถูกจับและถูกนำตัวไปประเทศพม่า วัดนักบุญยอแซฟถูกเผา และบ้านเณรถูกปล้น พวกคริสตังบางคนถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ส่วนพวกที่หนีเอาตัวรอดได้ก็หนีกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ บางกลุ่มก็หนีลงมาบางกอก การแพร่ธรรมต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคริสตศาสนาจนทำให้การเผยแพร่พระวรสารเกือบสิ้นสุดไป

หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกอบกู้เอกราชคืนมาได้ในปี ค.ศ. 1768 และทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ในระหว่างนี้มิสซังสยามค่อยฟื้นตัวขึ้นบ้าง คุณพ่อกอรร์ (Corre) ซึ่งได้ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศเขมร
ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย และรวบรวมคริสตังที่บางกอกซึ่งมีจำนวนถึง 400 คน ให้มาอยู่รวมกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงพระราชทานที่ดินแปลงหนึ่งสำหรับสร้างโบสถ์      คุณพ่อกอรร์ได้ตั้งชื่อว่า    
 "วัดซางตาครู้ส" งานเผยแพร่พระวรสารได้เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง จำนวนคนกลับใจและรับศีลล้างบาปได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆส่วนใหญ่เป็นชาวจีน พระสังฆราชกูเดได้บันทึกไว้ว่า  "ที่นี่ (วัดซางตาครู้ส) มีคนจีนมาก ดูเหมือนจะสอนคนจีนให้กลับใจได้ง่ายกว่าคนไทย พระเจ้าแผ่นดินจะไม่ทรงห้ามเขาเป็นคริสตัง และเขาก็เป็นเหมือนคนต่างด้าว มิชชันนารีที่รู้จักภาษาจีน จะทำประโยชน์ในเมืองไทยได้มาก" และนี่คือเหตุผลที่ทำให้บรรดามิชชันนารีต้องเรียนรู้ภาษาจีนด้วย นอกจากภาษาไทยแล้ว

ปรับปรุงข้อมูลเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010