ผู้สืบตำแหน่งแทน เซนต์ปีเตอร์ ที่กรุงโรม |
1. หลักฐานที่สำคัญที่ปรากฏอยู่ชัดคือ เซนต์ปีเตอร์เป็นมรณสักขีที่กรุงโรมและที่ตรงนั้นเองได้กลายเป็นศูนย์กลางพระศาสนจักร และยังคงยืนยันถึงการเป็นพยานของพระวาจาพระเจ้าจนถึงทุกวันนี้
เป็นความจริงที่ว่าเซนต์ปีเตอร์ได้ย้ายศูนย์กลางการเป็นประจักษ์พยานในพระคริสต์จากกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นพระศาสนจักรแม่มาสู่กรุงโรม และยกฐานะโรมเป็นศูนย์กลางแห่งพระศาสนจักรแห่งใหม่ ซึ่งนักบุญเคลเมนท์และนักบุญอิกญาซีโอแห่งอันทิโอ๊ก ได้บอกในจดหมายของท่านถึงความสำคัญแห่งพระศาสนจักร ณ กรุงโรม และคริสตชนในยุคแรก ที่ให้ความสำคัญสูงสุดแก่ศูนย์กลางแห่งนี้
2. กรุงโรม กลายเป็นศูนย์กลางพระศาสนจักรแห่งอัครสาวก "มีฐานะพิเศษและเที่ยงแท้ที่สุด" เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีผู้สืบตำแหน่งอัครสาวกแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มแรกก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน กล่าวคือกว่าสองพันปีมาแล้ว
3. ตามคำอ้างอิงของ เอ็วซีนีอุสแห่งเซซารีอา นักประวัติศาสตร์ในยุคแรก ซึ่งเป็นชาวปาเลสไตน์กล่าวไว้ว่า ความจริงมีศูนย์กลางพระศาสนจักรที่ตั้งโดยเซนต์ปีเตอร์ 3 แห่งด้วยกันคือ กรุงโรม กรุงอันทิโอ๊ก และกรุงอเล็กซานซานเดรียแห่งอิยิปต์ (ซึ่งตั้งโดยเซนต์มาร์คแต่รับรองและสนับสนุนโดยเซนต์ปีเตอร์) แต่ว่ากรุงโรมเป็นที่ที่เซนต์ปีเตอร์เป็นมรณสักขีและเป็นศูนย์กลางศาสนจักรที่เด่นที่สุดในระหว่าง 3 แห่งที่กล่าวมา ผู้ที่เป็นพยานเรื่องนี้คือ เซนต์อีเรนีอุส (ปี ค.ศ. 180)ซึ่งเขียนไว้ว่า ศูนย์กลางพระศาสนจักร ณ กรุงโรม เป็นต้นหลักแห่งการใช้อำนาจอัครสาวก หรือเรียกว่า "POTENTIOR PRIN CIPALITAS"
4. ศูนย์กลางพระศาสนจักร ณ กรุงโรม และการพัฒนาพระศาสนจักรมีลำดับขั้นตอนเป็นมาดังนี้ : การบริหารงานและการใช้อำนาจแห่งฐานพระสันตะปาปาในระยะเริ่มแรก ณ กรุงโรมพัฒนาขึ้นตามลำดับ แต่เดิมศูนย์กลางอันนี้เข้าไปมีส่วนร่วมในงานมากมายโดยเฉพาะทางการกุศลและทางสังคมสงเคราะห์ อันเป็นเครื่องหมายแห่งความรักเพื่อนมนุษย์ มากกว่าการใช้อำนาจสั่งการหรือแทรกแซงในหน่วยงาน แต่จากทีละเล็กทีละน้อย การใช้อำนาจของศูนย์กลางนี้ก็เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ตัวอย่างเช่น จดหมายของนักบุญเคลเมนต์ ที่เขียนถึงชาวโครินทร์ ในช่วงปลายศตวรรษแรก เป็นกรณีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากชาวโครินทร์ (ประเทศกรีซ) เมื่อเกิดการพิพาท ฐานะอำนาจบัลลังก์ที่กรุงโรมถูกยอมรับมากขึ้น และศูนย์กลางนี้เองก็ตระหนักดีถึงความรับผิดชอบที่มีต่อกลุ่มศาสนจักรในที่อื่นๆ เมื่อเกิดกรณีขัดแย้ง หรือเกิดสถานการณ์ตึงเครียด การไม่เข้าใจต่อกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่มีข้อโตแย้งเกิดขึ้นในศาสนจักรท้องถิ่น อันนำมาซึ่งความแตกแยกในหมู่คริสตชน ทุกกลุ่มจะมุ่งไปหาความยุติธรรม และการตัดสินปัญหาจากกรุงโรมทันที ตัวอย่างเช่น ในศตวรรษที่ 4 เซนต์ เยโรมเขียนจดหมายถึงพระสันตะปาปาเซนต์ดามาซุสดังนี้ "ข้าพเจ้าไม่ติดตามใครทั้งสิ้นในฐานะผู้นำ นอกจากพระเยซูคริสต์ผู้เดียวดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องการให้คงอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวในศาสนจักรกับตัวท่าน นั่นคือ คงอยู่แห่งบัลลังก์แห่งอัครสาวกปีเตอร์ ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าบนศิลาแผ่นนี้พระศาสนจักรถูกก่อตั้งขึ้น" (ปีเตอร์ แปลว่า ศิลา) ส่วนเซนต์อัมโบรส ซึ่งอยู่ในสมัยเดียวกันเขียนไว้อย่างกระทัดรัดว่า "เซนต์ปีเตอร์ อยู่ที่ใดก็ตาม ณ ที่นั้นคือพระศาสนจักร"
ส่วนทางด้านเทววิทยาเกี่ยวกับการใช้อำนาจสูงสุดในตำแหน่งของพระสันตะปาปานั้น มีการพัฒนาความคิดหลังจากศตวรรษที่ 4 (เนื้อหาสาระในเรื่องนี้อาจจะพบได้จากจดหมายของพระสันตะปาปาซีรีซีอุส ส่งไปยังปรเทศสเปนในปี ค.ศ. 385 เนื้อหาสาระสำคัญมากเพราะเป็นหลักฐานการศึกษาด้านเทววิทยาของตำแหน่งพระสันตะปาปา ถ้าหากจะค้นคว้าให้ลึกซึ้งควรจะไปดูช่วงระหว่างพระสันตะปาปาซีรีซีอุส พระสันตะปาปาเลโอที่ 1 (ค.ศ.410 - 461) ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เริ่มถกเถียง และอภิปรายกันมากมายเทววิทยาและกฎหมาย ถึงอำนาจของพระสันตะปาปา ณ กรุงโรม และการพัฒนาความคิดในยุคแรกๆ ของพระศาสนจักร
5.เกี่ยวกับพระศาสนจักรแห่งกรุงโรม และพระสังฆราชแห่กรุงโรม การพัฒนาและความสัมพัน์กันระหว่างตำแหน่งเอกของพระศาสนจักรแห่งกรุงโรม - พระสังฆราชแห่งกรุงโรม หรือพระสันตะปาปามีหลักฐานปรากฏดังนี้
ก.นักบุญเคลเมนท์ เขียนจดหมายถึงชาวโครินทร์ที่กรีซ โดยท่านเริ่มคำนำของจดหมายว่าดังนี้ "พระศาสนจักรแห่งกรุงโรม ถึงพระศาสนจักรแห่งเมืองโครินทร์"
ข.นักบุญอีเรนุส เขียนข้อความยืนยันดังนี้ "ขนบธรรมเนียมและการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของอัครสาวกถูกเก็บไว้ในพระศาสนจักรต่างๆ โดยอัครสาวกเอง และผู้สืบตำแหน่งแทน"
ค.นักบุญอิกญาซีโอแห่งอันทิโอ๊ก เน้นในขณะที่ท่านต้องเป็นมรณะสักขี (ปี ค.ศ.107) เขียนไว้ว่าคริสตชนแห่งโรม มีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างแน่นแฟ้น เนื่องมาจากอัครสาวก 2 ท่านคือ เซนต์ปีเตอร์ และเซนต์ปอล ทั้งสองมิอาจแยกออกจากกันได้ ซึ่งนำไปสู่เป้าหมายคือพระศาสนจักรของพระคริสต์ ซึ่งจะต้องโดดเด่นในเรื่องความรักซึ่งกันและกัน
ง.ธรรมเนียมการอวยพรของพระสันตะปาปาที่มอบให้กับ"กรุงโรม" และแก่โลกทั้งมวล (Urbi et Orbi) ในโอกาสฉลองสำคัญๆ ของพระศาสนจักรปฏิบัติต่อมาอย่างไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบัน พระสันตะปาปาจะกล่าวอวยพรว่าดังนี้ "ในนามและพร้อมกับอำนาจของเซนต์ปีเตอร์ และเซนต์ปอล ตลอดจนบรรดาอัครสาวกและบรรดามรณสักขี…"นอกนั้นตามปฏิทินของพระศาสนจักร เราจะฉลองเซนต์ปีเตอร์และเซนต์ปอลพร้อมกัน ในวันที่ 29 มิถุนายน ของทุกๆ ปี
เอกลักษณ์เฉพาะของพระศาสนจักรแห่งโรมและตำแหน่งเอกหรือพระสันตะปาปา ก็คือตำแหน่งของพระสังฆราชแห่งโรมนั่นเอง ในฐานะที่เป็นผู้นำเนื่องจากว่าท่านเป็นพระสังฆราชแห่งพระศาสนจักรกรุงโรมท่านจึงเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งหรือตพแหน่งเอกในบรรดาสังฆราชทั้งหลาย ท่านจึงมีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ ที่ได้รับพระคุณของพระจิตเจ้า และท่านต้องเป็นผู้นำชีวิตของพระศาสนจักรท้องถิ่นต่างๆ ด้วย
สังเกตว่าวิวัฒนาการตำแหน่งพระสันตะปาปานั้น พิจารณาและเน้นจากตำแหน่งพระสังฆราชแห่งกรุงโรม พระสันตะปาปาองค์หนึ่ง มิใช่สืบตำแหน่งจากพระสันตะปาปาองค์หนึ่ง แต่พระสันตะปาปาแต่องค์สืบตำแหน่งมาจากเซนต์ปีเตอร์ เราต้องใช้คำให้ถูกต้อง เช่น พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 มิได้สืบตำแหน่งจากพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 1 แต่สืบตำแหน่งจาก "เซนต์ปีเตอร์" ผู้ทรงเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก