5.เกี่ยวกับการดำเนินการเลือกตั้ง ทำอย่างไร

การเลือกตั้งพระสันตะปาปาใช้ในรูปแบบที่เรียกว่า "Per Scrutintium"  อย่างเดียวเท่านั้นคือ  การลงบัตรคะแนนลับ   และการตรวจสอบคะแนนอย่างละเอียดถี่ถ้วน

การเลือกพระสันตะปาปาจะถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย และไม่เป็นโมฆะก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้รับคะแนนเสียง2ใน3จากคะแนนโหวตคำนวณจากฐานจำนวนผู้มีสิทธิเลือกทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ ณ  ที่นั้น

กรณีที่เป็นไปไม่ได้  ที่จะแบ่งจำนวนบรรดาพระคาร์ดินัลที่ปรากฏตัวอยู่ที่นั่นออกเป็น  3 กลุ่มเท่าๆ กันเพื่อความถูกต้องตามกฎหมายในการเลือกพระสันตะปาปา จำเป็นต้องบวกเสียงโหวต อีก  1 เสียงเข้าไป

กรณีที่การเลือกตั้งถูกกระทำขึ้นในภาคบ่ายของวันแรกนั้น  การเลือกคะแนนการเลือกตั้งจะกระทำเพียงครั้งเดียว ถ้าหากยังไม่ได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่  วันต่อมาจะมีการลงคะแนนครั้งที่  1 และครั้งที่ 2  ในภาคเช้า ถ้าหากยังไม่ได้พระสันตะปาปา  การลงคะแนนอีก 2  ครั้ง จะกระทำในภาคบ่ายของวันนั้น 

วิธีการโหวตนั้นถูกแบ่งออกเป็น  3 ขั้นตอน

-  ขั้นตอนแรกเรียกว่า"Pre-Scrutiny"

-  ขั้นตอนที่สองเรียกว่า"Scrutiny  Propre"

-  ขั้นตอนที่สามเรียกว่า"Post-Scrutiny"

ก.เกี่ยวกับขั้นตอนแรก  "Pre-Scrutiny"  ประกอบด้วย

1.การเตรียม  และแจกบัตรลงคะแนน ซึ่งกระทำโดยจารีตพิธีพระคาร์ดินัลจะได้รับบัตรลงคะแนนอย่างน้อยองค์ละ  2-3 ใบ

2.ช่วงนี้จะมีการจับฉลากเพื่อเลือก  พระคาร์ดินัล  3 ท่าน ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบนับบัตรคะแนน หรือเรียกว่า  " Secrutineers" และจับฉลากเลือกอีก   3 ท่าน เพื่อเก็บบัตรลงคะแนนจากพระคาร์ดินัล  ที่ป่วย กลุ่มนี้เรียกว่า "Infirmarii" และเลือกอีก  3 ท่านให้เป็นผู้ทวนคะแนนเสียง ซึ่งเรียกว่า " Revisers"  ผู้ดำเนินการในการจับฉลากนี้ก็คือ  พระคาร์ดินัลชั้นยศศักดิ์สังฆานุกร   เพื่อให้ได้พระคาร์ดินัลทั้ง 9  ท่าน  และประกาศเป็นทางการตามลำดับทีละท่าน!

3.ในกรณีที่ชื่อพระคาร์ดินัล  ที่ถูกจับฉลากขึ้นมาให้ทำหน้าที่ดังกล่าวข้างต้น  ป่วย หรือมีอุปสรรคที่ไม่อำนวยให้ท่านทำหน้าที่นั้นๆได้ ก็ให้จับชื่อผู้อื่นที่อยู่ในฉลาก และไม่มีอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่นั้นแทน

สำหรับขั้นตอนแรกยังมีข้อกำหนดอื่นๆ อีกที่ต้องปฏิบัติตาม กล่าวคือ

(1). บัตรลงคะแนนต้องเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือสี่เหลี่ยมมุมฉาก ในตอนบนของบัตรนั้นอยู่ในลักษณะ  เปิดครึ่งหนึ่ง  และพิมพ์ภาษาลาตินว่า  "Eligo in Summum Pontificem"(ข้าพเจ้าเลือก…ให้เป็นพระสันตะปาปา)…ในครึ่งล่างของบัตรลงคะแนนนั้นต้องมีที่ว่าง เพื่อเขียนชื่อของบุคคลที่จะถูกเลือก ฉะนั้นบัตรนี้จึงอยู่ในลักษณะที่พับได้  2 ส่วน

(2). การลงคะแนนนั้นจะสมบูรณ์แบบโดยพระคาร์ดินัล แต่ละองค์จะต้องเขียนชื่อบุคคลที่ท่านเลือก  ด้วยลายมือที่สามารถอ่านออกได้ แต่ว่าถ้าหากเป็นไปได้ให้เขียนแบบที่คน  อื่นจะจำลายมือไม่ได้ ให้เขียนชื่อเดียวเท่านั้น  มิใช่หลายชื่อเพราะจะทำให้บัตรนั้นเป็นโมฆะ จากนั้นท่านต้องพับบัตรลงคะแนนสองครั้งหรือสองทบ

4.ระหว่างการโหวตเสียง  พระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกอยู่ใน Sistine  Chapel  เท่านั้น ดังนั้นหลังจากแจกบัตรเลือกตั้ง และก่อนเริ่มเขียนชื่อลงคะแนน เลขานุการของพระคาร์ดินัล    และนายจารีตพิธีกรรมของพระสันตะปาปา  ต้องออกไปจาก  Sistine Chapel ทันที  หลังจากท่านทั้งสองออกไปแล้ว  พระคาร์ดินัลผู้อยู่ในยศศักดิ์สังฆานุกรจะปิดประตู  Sistine Chapel จะเปิด  และปิดอีกครั้งเมื่อมีความจำเป็นสูงสุด เช่นพระคาร์ดินัล Infirmarii   ออกไปเก็บบัตรลงคะแนนจากพระคาร์ดินัลผู้ป่วย และกลับเข้ามาอีกครั้ง

ข.ขั้นตอนที่ 2  เรียกว่า  "Secrutinity Proper ประกอบด้วย

1. การงวางบัตรลงคะแนน  ในภาชนะรองรับอย่างเหมาะสม

2. การคละบัตรลงคะแนน และการนับบัตรลงคะแนน

3. การเปิดคะแนนเสียงโหวต

พระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกแต่ละองค์ ตามความอาวุโสของตำแหน่ง  เมื่อลงชื่อและพับบัตรของท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านจะต้องชูบัตรขึ้นในลักษณะที่ให้ทุกคนมองเห็นได้  และถือบัตรนั้นไปยังพระแท่น  ซึ่งพระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนทั้ง 3  ท่าน(Scrutineers) จะยืนอยู่ที่นั่นจะมีภาชนะรองรับบัตรเป็นจานและมีฝาปิดเรียบร้อย  เมื่อท่านเดินไปถึงพระแท่นพระคาร์ดินัลผู้นั้นต้องเปล่งวาจาอันดังว่า

"ข้าพเจ้าผู้มีพระคริสต์  พระสวามีเจ้าองค์พยานของข้าพเจ้า พระองค์จะเป็นผู้พิพากษาของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าขอมอบคะแนนโหวตแก่ผู้ที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าสมควรจะถูกรับเลือก"

จากนั้นท่านก็จะวางบัตรลงคะแนนบนจานฝาปิดภาชนะรองรับนั้น และหย่อนบัตรลงไปข้างใน  จากนั้นท่านก็จะโค้งคำนับพระแท่น และเดินกลับไปยังที่ของตน (ภาชนะที่รองรับบัตรเลือกตั้งนั้น ในที่นี้คือ  ถ้วยกาลิกซ์ ที่ใส่เหล้าองุ่น ในพิธีบูชามิสซานั่นเอง ส่วนฝาปิดนั้นคือจานแบน ซึ่งปกติแล้วใส่แผ่นปัง  วางไว้บนถ้วยกาลิกซ์ ในพิธีมิสซาของชาวคริสต์

ในกรณีที่พระคาร์ดินัลองค์หนึ่งที่อยู่ในนันรู้สึกป่วย ไม่สามารถเดินไปยังพระแท่นได้ ขอให้พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนคนที่ 3  เดินไปหาพระคาร์ดินัลองค์นั้น  พระคาร์ดินัลองค์นั้นต้องกล่าวคำสาบานดังที่เขียนไว้ข้างบนและมอบบัตรคะแนนนั้นให้แก่พระคาร์ดินัลองค์ที่ไปรับจากท่าน ซึ่งพระคาร์ดินัลที่รับบัตรมาจะต้องถือให้ทุกคนเห็นได้ชัดขณะเดินไปยังพระแท่น  วางบัตรลงบนจานฝาปิด จากนั้นหย่อนบัตรลงไปในภาชนะรองรับนั้น

กรณีที่พระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกป่วย และพำนักอยู่ในห้องพักของท่าน  พระคาร์ดินัลทั้ง 3 องค์ที่ทำหน้าที่ Infirmarii ต้องไปเก็บบัตรจากท่านที่ป่วยเหล่านั้น  พร้อมทั้งถือกล่องรับบัตรและก่อนที่จะมอบกล่องดังกล่าวนี้ให้แก่พระคาร์ดินัล  Infirmarii  พระคาร์ดินัลผู้ทำหน้าที่นับคะแนนต้องเปิดกล่องต่อหน้าคาร์ดินัลอื่นๆ  เพื่อแสดงให้เห็นว่าในกล่องนั้นว่างเปล่า จากนั้นก็ปิดกล่องนั้นด้วยกุญแจแล้วเดินทางไปยังอาคาร "Domus Sanctae Mathae" ไปหาพระคาร์ดินัลผู้ป่วยแต่ละองค์ พระคาร์ดินัลที่ป่วยต้องเขียนชื่อผู้ที่ท่านเลือกลงในบัตรอย่างเป็นความลับ พับบัตร  กล่าวคำสาบาน  หย่อนบัตรลงในกล่อง ในกรณีที่พระคาร์ดินัลผู้นั้นป่วยไม่สามารถเขียนได้  ท่านจะต้องเลือก 1  ใน  3 จากพระคาร์ดินัลที่ทำหน้าที่ Infirmarii หรือคาร์ดินัลองค์อื่นแต่ต้องกล่าวคำสาบานต่อหน้าพระคาร์ดินัล Infirmarii เกี่ยวกับการรักษาความลับ  จากนั้นก็ดำเนินการตามขั้นตอนที่ได้กล่าวเอาไว้

เมื่อรวบรวมบัตรเลือกตั้งจากบรรดาพระคาร์ดินัลผู้ป่วยแล้ว  พระคาร์ดินัลในหน้าที่ Infirmarii  นำกล่องนั้นกลับมายัง  Sistine Chapel  ซึ่งพระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนนั้นจะเป็นผู้เปิดกล่อง ต่อหน้าพระคาร์ดินัลอื่น  พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนจะเป็นนับจำนวนบัตร  ในกล่องนั้นด้วยความรอบคอบ  และยืนยันถึงจำนวนซึ่งจะต้องมีเท่ากับจำนวนพระคาร์ดินัลที่ป่วย ท่านต้องวางบัตรเลือกตั้งนั้นทีละบัตร  บนจานฝาปิดของภาชนะรองรับบัตร และหย่อนบัตรลงไปในนั้นพร้อมๆ กัน  แต่เพื่อมิให้การดำเนินการเลือกตั้งยืดเยื้อ  จึงขอให้พระคาร์ดินัลทั้ง 3  องค์  ทำหน้าที่ Infirmariiเขียนบัตรเลือกตั้งของตนก่อน และหย่อนบัตรทันที  ต่อจากพระคาร์ดินัลชั้นยศอาวุโสสุด หลังจากนั้นท่านทั้งสามจึงไปรวบรวมบัตรเลือกตั้งจากพระคาร์ดินัลผู้ป่วยตามรายละเอียดที่ได้กล่าวไปแล้ว

เมื่อพระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกทุกองค์หย่อนบัตรลงไปในภาชนะรองรับบัตรนั้นแล้ว  รวมทั้งบัตรจากพระคาร์ดินัลผู้ป่วย พระคาร์ดินัลผู้ที่ทำหน้าที่นับคะแนนบุคคลแรก  จะต้องเขย่าภาชนะนั้นหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้บัตรเหล่านั้นคละปนกันไป  ทันทีหลังจากนั้น  พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนองค์ที่สาม เริ่มนับคะแนนบัตรโดย การหยิบบัตรออกมาจากโกศภาชนะนั้นทีละใบ  โดยให้ทุกคนมองเห็นได้ และวางบัตรเหล่านั้นในภาชนะรองรับที่ว่างเปล่าอีกใบหนึ่ง  ซึ่งจัดเตรียมไว้เพื่อการนี้ กรณีที่จำนวนบัตรเลือกตั้งไม่สอดคล้องกับจำนวนพระคาร์ดินัลที่มีสิทธิเลือก  บัตรทั้งหมดเหล่านี้จะต้องถูกเผาและการโหวตครั้งที่สองก็จะต้องกระทำตามมาทันที

กรณีที่จำนวนบัตรเลือกตั้งสอดคล้องกับจำนวนบรรดาพระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิ์เลือก การเปิดบัตรแต่ละบัตรจะต้องกระทำในลักษณะดังต่อไปนี้คือ 

พระคาร์ดินัลทั้งสามที่ทำหน้าที่นับคะแนน  นั่งที่เก้าอี้หน้าพระแท่น พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนบุคคลแรกหยิบบัตรทีละใบ  เปิดบัตรออกมองดูชื่อบุคคลที่ถูกเลือกและส่งบัตรนั้นต่อไปให้พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนบุคคลที่ 2  ผู้ที่จะมองดูชื่อของผู้ถูกเลือกเช่นกัน  จากนั้นก็ส่งบัตรนั้นต่อไปให้พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนบุคคลที่ 3  ซึ่งจะอ่านชื่อนั้นด้วยเสียงดังและชัดเจน ดังนั้นบรรดาพระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกทั้งหมดที่อยู่ ณ  ที่นั้นต้องบันทึกคะแนนโหวตบนแผ่นกระดาษที่เตรียมไว้ให้แล้วเพื่อการนี้  พระคาร์ดินัลผู้ที่อ่านชื่อนี้ก็ต้องจดบันทึกชื่อที่ท่านอ่านออกไปด้วย

ในระหว่างการเปิดบัตร ถ้าพระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนพบว่ามีบัตรเลือกทั้งสองใบพับซ้อนกันอยู่ในลักษณะที่บ่งว่าเป็นผู้เลือกคนเดียว และเขียนชื่อผู้ที่ถูกเลือกเป็นชื่อเดียวกัน ให้นับคะแนนเป็น  1 โหวต กรณีที่ชื่อผู้ที่ถูกเลือกต่างกัน ให้ถือว่าบัตรทั้งสองเป็นโมฆะคือ  ไม่นับคะแนนทั้งสองใบ  ทั้งสองกรณีดังกล่าวนี้  ไม่ทำให้ขบวนการเลือกตั้งเป็นโมฆะไปทั้งหมด

เมื่อบัตรเลือกตั้งทั้งหมดถูกเปิดออกแล้ว  พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนทั้งสาม  จะรวบรวมผลคะแนนโหวตในแต่ละชื่อของผู้ที่ถูกเลือกและเขียนลงบนกระดาษแยกออกจากกัน พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนคนที่ 3  ขณะที่อ่านบัตรแต่ละใบด้วยเสียงดังชัดเจนเสร็จแล้ว  ท่านก็จะเจาะบัตรแต่ละใบด้วยเข็มหมุด ผ่านตรงคำว่า "Eligo"  บนบัตรนั้นและร้อยบัตรนั้นเข้าไปในเชือกซึ่งบัตรทั้งหมดจะอยู่ในลักษณะที่ปลอดภัยไม่หลุดหายไปไหน  หลังจากชื่อทั้งหมดที่ถูกประกาศออกมาแล้ว ปลายเชือกนั้นต้องผูกไว้ให้เป็นปม  จากนั้นบัตรทั้งหมดที่ถูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน  วางไว้ในภาชนะข้างๆ  โต๊ะที่ท่านทั้งสามนั่งอยู่  จากนั้นจึงเริ่มขั้นตอนที่สามหรือขั้นตอนสุดท้าย

ค.ขั้นตอนที่สามที่เรียกว่า Post - Scrutiny  ซึ่งประกอบด้วย

1. การนับคะแนนโหวต

2. การตรวจสอบคะแนนโหวต

3. การเผาบัตรเลือกตั้งทั้งหมด

พระคาร์ดินัลผู้นับคะแนนทั้งสาม รวบรวมคะแนนโหวตของผู้ที่ถูกเลือกแต่ละบุคคลที่ได้รับ  ถ้าหากผู้นั้นไม่ได้คะแนน 2  ใน  3 จากบัตรเลือกตั้งนั้น ก็แสดงว่ายังไม่ได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่ แต่ถ้าผู้ใดได้รับคะแนน 2  ใน  3 ของเสียงโหวต ก็แสดงว่าพระสันตะปาปาองค์ใหม่  ได้รับเลือกอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้ว!

อย่างไรก็ตามไม่ว่าการเลือกพระสันตะปาปาจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ก็ตาม  พระคาร์ดินัลผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบคะแนน(Revisers) จะต้องดำเนินการตรวจสอบจากบัตรเลือกตั้งทั้งหมด  ผู้นับคะแนน เพื่อที่จะมั่นใจและรับรองว่าการเลือกนั้นดำเนินไปอย่างซื่อสัตย์และถูกต้องทุกประการ

ทันทีหลังจากตรวจสอบสิ่งต่างๆ แล้ว ก่อนที่บรรดาพระคาร์ดินัลเหล่านั้นจะออกจาก    Sistine Chapel  บัตรเลือกตั้งทั้งหมดจะต้องถูกเผาโดยพระคาร์ดินัลผู้นับคะแนน  ซึ่งมีเลขานุการแห่งคอนเคล็ฟ และนายจารีตพิธีของพระสันตะปาปาเป็นผู้ช่วย ในกรณีมีการลงบัตรเลือกตั้งรอบที่ 2 ที่เกิดขึ้นทันทีต่อจากรอบแรก บัตรเลือกตั้งของการเลือกรอบแรกนั้นต้องถูกนำมารวมกับบัตรเลือกตั้งของรอบสอง และต้องเผาทำลายไปพร้อมๆ  กัน และเพื่อความรอบคอบในการเก็บรักษาความลับ  บรรดาคาร์ดินัลที่มีสิทธิเลือกตั้งเหล่านี้ ต้องมอบกระดาษโน้ตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง บันทึกคะแนนโหวต  ให้แก่พระคาร์ดินัล - คาร์แมร์เล็งโก หรือพระคาร์ดินัลผู้ช่วย เพื่อนำไปเผาพร้อมกับบัตรเลือกตั้ง! ซึ่งการเผาบัตรเลือกตั้งนี้ยังคงรักษาธรรมเนียมเดิมเก่าแก่ดั้งเดิมคือ  ถ้าหากได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่ ขณะเผาบัตรนั้นจะผสมสารเคมี เพื่อทำให้เกิดควันสีขาวออกไปทางปล่องหลังคา  Sistine Chapel  และถ้าหากยังไม่ได้พระสันตะปาปาก็จะผสมสารเคมี  หรือฟางชื้นๆ  ทำให้เกิดควันสีดำ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ ณ  จัตตุรัส  เซนต์ปีเตอร์มองเห็นได้ถึงผลการเลือกตั้ง

เมื่อสิ้นสุดการเลือกตั้ง พระคาร์ดินัลคาร์แมร์เล็งโกต้องร่างเอกสารที่เกี่ยวกับผลโหวตแต่ละครั้ง  ซึ่งเอกสารนี้ต้องได้รับการตรวจจากพระคาร์ดินัลผู้ช่วยทั้งสาม เอกสารเหล่านี้ต้องมอบให้แก่พระสันตะปาปาองค์ใหม่  หลังจากนั้นต้องถูกเก็บไว้ในที่พิเศษซึ่ง ซองนั้นจะต้องตีตราผนึก ไม่มีใครมีสิทธิจะเปิดดูได้  ยกเว้นพระสันตะปาปาองค์ใหม่  และผู้ที่พระองค์อนุญาตเท่านั้น

ในกรณีที่มีการโหวตอีกหลายครั้ง ต่อจากการโหวตในบ่ายของวันที่พระคาร์ดินัลเข้าคอนเคล็ฟ ไม่จำเป็นต้องให้คำสาบานอีกและไม่จำเป็นต้องเลือกพระคาร์ดินัลผู้นับคะแนน ผู้ตรวจสอบการนับคะแนน และผู้ที่ทำหน้าที่ Infirmiarii  การสาบานและผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวนั้นถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย ในการโหวตแต่ละครั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นภาคเช้า ภาคบ่าย  พระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกนั้นต้องรักษากฎเกณฑ์อย่างดี รวมทั้งการสวดภาวนา ที่กำหนดไว้ใน  Ordo Rituum Conclavis

กรณีหลังจาการโหวต  3 วันแล้วยังไม่ได้พระสันตะปาปาองค์ใหม่ การโหวตนั้นต้องยุติลง  1 วัน  เพื่อให้พระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิ์เลือกเหล่านั้นไปอธิษฐานภาวนา และอนุญาตให้ท่านเหล่านั้นอภิปรายแบบไม่เป็นทางการได้ และพระคาร์ดินัลที่อาวุโสที่สุดในยศชั้นศักดิ์สังฆานุกรให้ข้อเตือนใจสั้นๆ  จากนั้นให้เริ่มโหวตอีกในวิธีการเดียวกัน ถ้าหากหลังจากการโหวตถึง  7 ครั้ง  และยังไม่ได้ผู้ที่จะเป็นพระสันตะปาปาจะต้องมีการหยุดอีกครั้งและอภิปรายแบบไม่เป็นทางการกันอีก  จากนั้นพระคาร์ดินัลที่อาวุโสที่สุดในยศศักดิ์พระสงฆ์กล่าวให้ข้อเตือนใจ จากนั้นก็เริ่มโหวตอีก  ถ้าหากโหวตแล้วถึง 7  ครั้ง แล้ว ยังไม่บรรลุผลก็ให้หยุดอีก  ก็ให้อธิษฐานภาวนา อภิปรายแบบไม่เป็นทางการอีกและพระคาร์ดินัลอาวุโสในชั้นยศศักดิ์สังฆราชกล่าวเตือนใจและเริ่มวิธีการเดิมอีก  ถ้าหากถึง 7  ครั้งแล้ว ยังไม่ประสบความสำเร็จพระคาร์ดินัลคาร์แมร์เล็งโกจะเชิญบรรดาพระคาร์ดินัลผู้มีสิทธิเลือกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะของการดำเนินการเลือกตั้ง ดังนั้นการเลือกตั้งจะต้งอดำเนินตามข้อตกลงจากบรรดาพระคาร์ดินัลเหล่านั้นด้วยเสียงเอกฉันท์

อย่างไรก็ตามจะไม่มีการยกเลิกการเลือกตั้ง ถ้าหากไม่ได้รับการตกลงแบบเอกฉันท์  หรือการโหวตเพียงแค่  2 ชื่อ ซึ่งบุคคลทั้งสองนั้นต้องได้รับเสียงโหวตเป็นจำนวนมากที่สุด  ทั้งสองกรณีดังกล่าวนี้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับเสียงเป็นเอกฉันท์จากผู้มีสิทธิโหวตเท่านั้น

ถ้าหากวิธีเลือกแตกต่างไปจากพระธรรมนูญฉบับดังที่วางไว้นี้   หรือถ้าหากเงื่อนไขต่างๆที่วางไว้แล้วนี้ไม่ได้รับการปฏิบัติตาม  การเลือกตั้งวิธีอื่นให้ถือว่าเป็นโมฆะอย่างสิ้นเชิง!