Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2024 สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 375

      เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1999 พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ได้ตรัสกับคริสตชนที่มาชุมนุมฟังพระองค์ที่ลานมหาวิหารนักบุญเปโตรว่า
“สวรรค์หรือความสุขที่เราจะได้พบนั้น ไม่ใช่ทั้งเรื่องลอยๆ และก็ไม่ใช่ทั้งสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในก้อนเมฆ แต่เป็นความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งเราสามารถคาดการณ์และรู้สึกได้แล้วตั้งแต่เวลานี้และบนโลกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ภาพของนรกที่เราได้จากพระคัมภีร์ก็จำเป็นต้องได้รับการตีความอย่างถูกต้อง มันหมายถึงการมีชีวิตที่ว่างเปล่าปราศจากพระเจ้า และสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง นรกคือสถานะที่คนคนหนึ่งเต็มใจถอยห่างจากพระเจ้า ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของชีวิตและความชื่นชมยินดี”
     พี่น้องสงสัยไหมว่าทำไมพระสันตะปาปาจึงต้องอธิบายเรื่องสวรรค์และนรกให้ชัดเจนอย่างนี้ด้วย?
เชื่อกันว่าพระสันตะปาปาจำเป็นต้องอธิบายเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในการตีความพระคัมภีร์เกี่ยวกับการสิ้นพิภพของคน 2 กลุ่มใหญ่ๆ นั่นคือพวกเหตุผลนิยมกับพวกที่ตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษร
     เมื่อพวกเหตุผลนิยมอ่านพระวรสารของวันนี้ พวกเขามองว่าเป็นความผิดพลาดของคริสตชนยุคเริ่มแรกที่เชื่อว่าวันสิ้นพิภพอยู่ใกล้แค่เอื้อมซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าไม่จริง รวมทั้งความเชื่อว่าสวรรค์เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในก้อนเมฆที่ซึ่งพระเยซูเจ้าจะเสด็จลงมาก็ไม่จริง หรือความเชื่อว่าดวงดาวจะตกจากท้องฟ้าซึ่งเราก็รู้แล้วว่าดาวดวงเดียวก็ใหญ่กว่าโลกของเราแล้ว หรือความเชื่อว่าโลกของเราแบน มีสี่มุม ก็ได้รับการพิสูจน์โดยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แล้วว่าไม่ใช่ สรุปว่า พระวรสารตอนนี้ล้าสมัย ไม่มีคุณค่าประการใดสำหรับเรา และสวรรค์ก็ไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกจากเป็นเรื่องที่คนสมัยโบราณนึกฝันขึ้นมาเอง
      ส่วนพวกที่นิยมตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษรนั้น พวกเขามองพระวรสารวันนี้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อวันสิ้นพิภพมาถึง หากพระคัมภีร์บอกว่าสวรรค์อยู่สักแห่งหนึ่งในก้อนเมฆ ก็แปลว่าสวรรค์ต้องอยู่สักแห่งหนึ่งในก้อนเมฆ ซึ่งอาจอยู่สูงเกินกว่ามนุษย์อวกาศหรือกล้องดูดาวจะมองเห็นได้ บางคนถึงกับวางแผนจะไปพบพระเยซูเจ้าในก้อนเมฆ อย่างเช่นลัทธิ Heaven’s Gate ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นยุค 1970 ที่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียที่สอนให้สมาชิกเตรียมกระเป๋าเดินทางเพื่อจะขึ้นดาวหางไปสวรรค์ หรือเหมือนกับสตรีเกาหลีคนหนึ่งที่ยอมทำแท้งเพราะกลัวว่าน้ำหนักจะเกินจนบินขึ้นสวรรค์ไม่ได้
เพื่อจะแก้ไขความคิดผิดๆ ของทั้งสองกลุ่มนี้ พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 จึงทรงชี้แนวทางที่สามให้แก่เรา นั่นคือให้เราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสิ้นพิภพ ให้เป็นข่าวดีที่สอดคล้องกับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย
และด้วยคำแนะนำของพระสันตะปาปานี้ เราจึงสามารถดึงเอาสาระสำคัญที่พระเยซูเจ้าต้องการจะบอกเราในพระวรสารวันนี้ ออกมาได้ 2 ประการด้วยกัน
     ประการแรก โลกนี้กำลังจะผ่านพ้นไป ชีวิตในโลกนี้เป็นอนิจจัง เพราะฉะนั้นเราจะไปทุ่มเทและยึดติดอยู่กับมันทำไม สู้หันมาทำตามที่พระเยซูเจ้าทรงสอน คือให้เราทุ่มเทและยึดติดอยู่กับสิ่งที่อยู่เหนือโลกนี้ คือยึดติดอยู่กับพระอาณาจักรของพระเจ้าไม่ดีกว่าหรือ
     สาระสำคัญประการที่สองก็คือ พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความยุติธรรม พระองค์จะเสด็จกลับมาสักวันหนึ่ง นั่นคือวันสิ้นพิภพ เพื่อทำให้สิ่งที่ไม่ยุติธรรม สิ่งที่ผิดพลาดทั้งหลายในโลกนี้กลับมาถูกต้อง เพราะอย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่า โลกนี้ยังเป็นสถานที่ที่ผู้บริสุทธิ์ต้องทนทุกข์ ในขณะที่คนชั่วกลับร่ำรวย คนดีอาจจะนอนหลับฝันดีเวลากลางคืน แต่คนชั่วกลับดูเหมือนจะร่าเริงยินดีทั้งวัน ถ้าชีวิตเป็นอย่างนี้ ทำไมเราจะต้องเป็นคนดีด้วยล่ะ พระวรสารเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของโลกที่เราได้ฟังวันนี้ จึงเป็นข่าวดีที่ยืนยันว่า ท้ายที่สุดแล้ว คนชั่วก็ต้องรับกรรมชั่ว คนดีก็จะได้รับกรรมดี นั่นคือได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เราแล้ว
แล้วทำอย่างไรล่ะ เราจึงจะมั่นใจได้ ว่าเราจะได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เราแล้ว ?
     บทอ่านที่สองวันนี้ซึ่งเป็นจดหมายถึงชาวฮีบรูบอกว่า “โดยอาศัยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระเยซูเจ้าทรงทำให้ทุกคนที่กำลังรับความศักดิ์สิทธิ์ บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ตลอดไป”
ก็แปลว่าการถวายบูชาของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนคือสิ่งสำคัญที่สุด และเป็นหลักประกันความศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ของเราที่จะทำให้เราได้เข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า
เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องทำให้การถวายบูชาของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนเป็นการถวายบูชาของเราโดยการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิกฤติโควิดผ่านพ้นไปแล้ว
และในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เราก็ต้องหมั่นถวายบูชาในพระวิหารทรงชีวิต ซึ่งก็คือในร่างกายของเรานั่นเอง ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวว่า “ท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้าทรงพำนักอยู่ในท่าน” (1คร 3:16; 2คร 6:16) และเราจะถวายบูชาในพระวิหารทรงชีวิตของเราได้ก็โดยการร่วมแบกกางเขนกับพระเยซูเจ้าด้วยการลดละความพึงพอใจและอำเภอใจของเราลง เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าและของเพื่อนมนุษย์
ด้วยการถวายบูชาของเราร่วมกับบูชาของพระเยซูเจ้านี่แหละคือการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาเมื่อใดก็ตาม
      วันนี้ เมื่อเราสวดบทข้าแต่พระบิดา ขอให้เราตั้งใจและวอนขอจริงๆ ให้ “พระอาณาจักรจงมาถึง และพระประสงค์จงสำเร็จไปในตัวเราแต่ละคน”

Joomla! Debug Console

Session

Profile Information

การใช้งาน หน่วยความจำ

Database Queries