Logo

Lectio Divina พฤศจิกายน 2017

หมวด: Lectio Divina 2017
เขียนโดย พระคุณเจ้าประธาน ศรีดารุณศีล
ฮิต: 816

Lectio Divina: พฤศจิกายน 2017 ความเมตตาในสายพระเนตร The Gaze of Mercy - 3

 

“เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย”

พระเยซูเจ้าและหญิงที่ผิดประเวณี

 

1.    พระเยซูเจ้าและบรรดาผู้กล่าวหา

        เรื่องของหญิงที่ถูกจับได้ว่าทำผิดประเวณีมีลักษณะเหมือนละครเรื่องสั้นๆที่มีสององค์หรือฉากในฉากแรกมีตัวละครมากมายคือบรรดาผู้กล่าวหาหญิงคนนี้และพระเยซูเจ้าฉากที่สองมีตัวละครเพียงสองคนคือพระเยซูเจ้าและหญิงคนนี้เราจะอ่านคำบอกเล่าเหตุการณ์ในฉากแรกดังนี้

 

Lectio : พระเจ้าตรัส

ยอห์น 8:2-9

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีกประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์พระองค์ประทับนั่งแล้วทรงเริ่มสั่งสอนบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามาหญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณีเขาให้นางยืนตรงกลางแล้วทูลถามพระองค์ว่า“อาจารย์หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณีในธรรมบัญญัติโมเสสสั่งเราให้ทุ่มหญิงประเภทนี้จนตายส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนี้เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลงเอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดินเมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีกพระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า“ท่านผู้ใดไม่มีบาปจงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไปเมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ก็ค่อยๆทยอยออกไปทีละคนเริ่มจากคนอาวุโสจนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้นซึ่งยังยืนอยู่ที่เดิม     (ยน 8:2-9)

 

ทำความเข้าใจกับความหมายของพระวาจา

        บัดนี้เราจะลองวาดภาพเหตุการณ์นี้ในใจของเราพระเยซูเจ้าทรงกำลังสั่งสอนในพระวิหารในทันใดกลุ่มผู้ฟังก็แตกฮือชาวฟาริสีกลุ่มหนึ่งกำลังเอะอะโวยวายและผลักหญิงคนหนึ่งเข้ามาเขานำตัวนางมาข้างหน้าและยืนล้อมเป็นวงรอบตัวนางพวกเขาบอกว่าหญิงคนนี้“ถูกจับ” ขณะล่วงประเวณีแต่เราไม่คิดว่านาง“ถูกจับได้” จริงๆ (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลา“เช้าตรู่”) พวกเขาคงสอดแนมนางมานานหลายคืนแล้วเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีหลักฐานกล่าวหานางได้นางถูกดึงตัวมาจากคู่รักของนางและนำตัวมาหาพระเยซูเจ้า

       

        “ท่านจะว่าอย่างไร?” พวกเขาไม่ได้มาขอฟังความคิดเห็นจากพระองค์แต่เขาวางกับดักพระองค์เหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาถามพระองค์ว่าเขาต้องจ่ายภาษีให้แก่ซีซาร์หรือไม่ (ดูมธ 22:17-21) กับดักในที่นี้คือถ้าพระองค์ห้ามไม่ให้ทุ่มหินใส่นางพระองค์ก็กำลังฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของโมเสสเขาจะกล่าวหาพระองค์ได้ว่าละเมิดบทบัญญัติเพราะการผิดประเวณีเป็นข้อห้ามในบัญญัติ 10 ประการซึ่งระบุการลงโทษให้ตายด้วยการทุ่มหินสำหรับบาปข้อนี้อย่างชัดเจนเช่นกันแต่ถ้าพระเยซูเจ้าทรงบอกให้เขาทุ่มหินใส่นางพระองค์จะเสียชื่อเสียงที่ทรงเป็นอาจารย์ผู้ใจดีและเมตตาต่อคนบาปซึ่งดึงดูดประชาชนให้เข้ามาหาพระองค์พวกเขาวางแผนมาอย่างรัดกุมและมั่นใจว่าเขาจะชนะ

        พระเยซูเจ้าทรงแสดงปฏิกิริยาที่น่าแปลกใจพระองค์ไม่ตรัสอะไรทรงก้มลงและเริ่มขีดเขียนอะไรบางอย่างบนพื้นดินพระองค์คงไม่เขียนสัญลักษณ์บางอย่างแต่เขียนเป็นตัวอักษรบางคนคิดว่าพระองค์ทรงกำลังเขียนบาปของผู้กล่าวหาหรือพระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงเมินเฉยต่อธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแต่พระเยซูเจ้าไม่เคยแสดงความเมินเฉยหรือเหยียดหยามผู้อื่นไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม

        เนื่องจากการล่วงประเวณีเป็นความผิดที่อื้อฉาวพวกเขาจึงควรนำตัวชายที่เกี่ยวข้องมาพบพระเยซูเจ้าพร้อมกับหญิงคนนี้ด้วยมีเขียนในธรรมบัญญัติว่า“ผู้ใดเป็นชู้กับภรรยาของเพื่อนบ้านชู้ทั้งสองจะต้องถูกประหารชีวิต“ (ลนต 20:10) เหตุใดธรรมาจารย์และชาวฟาริสีจึงไม่ทำเช่นนี้? พวกเขายืนยันว่าธรรมบัญญัติของโมเสสสั่งให้เขาทุ่มหินหญิงคนนี้ในขณะที่มองข้ามชายที่เกี่ยวข้องนี่คือการบิดเบือนธรรมบัญญัติข้อนี้อย่างโจ่งแจ้งพระเยซูเจ้าไม่ทรงต้องการทำให้คู่ต่อสู้ของพระองค์อับอายเกินไปต่อหน้าประชาชนด้วยการตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขาเองกำลังฝ่าฝืนธรรมบัญญัติพระองค์ทรงต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเขาน่าจะสำรวจจิตใจตนเองมากกว่าพระองค์จึงทรงเขียนธรรมบัญญัติเกี่ยวกับการล่วงประเวณีบนพื้นดิน

        ในตอนแรกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีไม่เข้าใจจากนั้นพระเยซูเจ้าจึงเงยพระพักตร์ขึ้นและเสนอแนวทางหนึ่งที่เขาสามารถทำได้“ท่านผู้ใดไม่มีบาปจงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” พวกเขาจึงตาสว่างและอ่านข้อความที่พระองค์ทรงเขียนบนพื้นดินคนอาวุโสเป็นคนที่รู้ธรรมบัญญัติดีที่สุดเขาจึงเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้าใจพระวาจาของพระองค์พวกเขาไม่จำเป็นต้องยืนรออยู่ต่อไปเพราะเขารู้ข้อความส่วนที่เหลือเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากค่อยๆเดินหลบไปเพราะเขาได้ติดกับดักของตนเองแล้ว

        พระเยซูเจ้าทรงต้องการทำให้เขาเข้าใจด้วยความกรุณาแต่หนักแน่นว่าถ้ามนุษย์ยกบทบัญญัติและหลักศีลธรรมมาใช้อย่างเข้มงวดเพื่อประณามความผิดของผู้อื่นในไม่ช้าย่อมมีผู้อื่นที่จะอ้างบทบัญญัติและหลักศีลธรรมนั้นมาใช้กับตัวเขาใครจะอ้างได้ว่าตนเองเป็นผู้ชอบธรรมเบื้องหน้าพระเจ้า

 

2.    พระเยซูเจ้าและหญิงคนนั้น - ตามลำพัง

        บัดนี้เราจะพิจารณาฉากที่สองระหว่างพระเยซูเจ้าและหญิงคนนี้“เหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้นซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิมพระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า‘นางเอ๋ยพวกนั้นไปไหนหมดไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ’ หญิงคนนั้นทูลตอบว่า‘ไม่มีใครเลยพระเจ้าข้า’ พระเยซูเจ้าตรัสว่า‘เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วยไปเถิดและตั้งแต่นี้ไปอย่าทำบาปอีก’” (ยน 8:9-11)

        บัดนี้ศาลว่างเปล่าเหลือแต่ผู้พิพากษาและจำเลยพระเยซูเจ้าทรงก้มพระพักตร์มองที่พื้นดินอยู่จนถึงเวลานี้บัดนี้พระองค์ทรงเงยพระพักตร์มองที่หญิงนั้นและตรัสว่า“นางเอ๋ยพวกนั้นไปไหนหมดไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” คำว่า“นางเอ๋ย” หรือ“หญิงเอ๋ย” ที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเยซูเจ้าไม่ได้ฟังดูเหมือนเหยียดหยามเหมือนกับคำพูดที่ออกจากปากของผู้กล่าวหาว่า“หญิงคนนี้ ... หญิงประเภทนี้” แต่ฟังดูเหมือนเคารพนางและให้เกียรตินางพระองค์ทรงใช้คำนี้เรียกพระมารดาของพระองค์ขณะที่พระองค์ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน“หญิงเอ๋ยนี่คือลูกของท่าน”       (ยน 19:26)

        ท่ามกลางความเงียบหลังจากผู้กล่าวหาเหล่านั้นได้จากไปแล้วหญิงคนนั้นคงตอบพระองค์ด้วยเสียงสั่นเครือว่า“ไม่มีใครเลยพระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า“เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วยไปเถิดและตั้งแต่นี้ไปอย่าทำบาปอีก” นี่คือประโยคที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนเมื่อเราคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงแสดงว่าพระองค์ทรงเข้มงวดมากกว่าโมเสสเกี่ยวกับบาปล่วงประเวณี“แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว” (มธ 5:28)

        อาจกล่าวได้ว่าเมื่อพระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลเดียวที่ปราศจากบาปพระองค์จึงสามารถทุ่มหินก้อนแรกได้แต่พระองค์มิได้ทำเช่นนั้นพระองค์ไม่ประณามนางพระองค์ประณามนางไม่ลงสายตาของนางทำให้พระองค์ทรงเข้าใจได้ว่าหญิงคนนี้ยังไม่สามารถมีชีวิตอย่างมนุษย์แท้ชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้ายังไม่เคยมีใครรักนางที่ตัวนางเองความสัมพันธ์ของนางกับสามีคงไม่ราบรื่นนักเพราะนางมีชู้รักชายคนนี้รักนางที่ตัวนางหรือเพราะต้องการแสวงหาประโยชน์จากนาง? ดังนั้นเมื่อหญิงคนนี้อยู่ในมือของธรรมาจารย์และฟาริสีนางจึงเป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่งนางเป็นเพียง“ข้ออ้าง” ให้เขากล่าวหาพระเยซูเจ้าเมื่อไม่เคยมีใครรักนางเพราะตัวนางหญิงคนนี้จะเข้าใจความจริงเกี่ยวกับการรักผู้อื่นได้อย่างไรนางจะเข้าใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ชายหญิงมีความรักประเภทใดต่อกันนี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เราเห็นว่าบาปสามารถทำให้มนุษย์สามารถตกต่ำได้ถึงเพียงนี้เขาปรารถนากันและกันเขาใช้กันและกันเพื่อประโยชน์ของตนเองราวกับว่าเขาเป็นวัตถุ

        พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อไถ่กู้มนุษย์จากสถานการณ์นี้เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าพระเจ้าทรงรักเขาเพราะตัวเขาเองทรงรักอย่างเต็มพระทัยรักโดยไม่ตั้งเงื่อนไขเพราะเหตุนี้พระเยซูเจ้าจึงไม่สามารถประณามหญิงคนนี้ได้เหนืออื่นใดพระองค์ทรงต้องการเผยแก่นางว่าพระองค์ไม่ได้รักนางอย่างที่คนอื่นๆเคยรักกล่าวคือพวกเขารักนาง

 

เพราะต้องการครอบครองนางและใช้นางเหมือนเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งพระองค์ประทานความรักแก่นางโดยตรงโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนพระองค์ทรงต้องการให้

นางเรียกศักดิ์ศรีของนางกลับคืนมาในฐานะหญิงคนหนึ่งและในฐานะมนุษย์ที่เจริญแล้วอย่างที่พระบิดาทรงต้องการให้นางเป็นหลังจากนางค้นพบความรักที่ผลิบานนี้แล้วนางจึงจะพบ– ในน้ำพุที่บัดนี้กำลังไหลเวียนอยู่ภายในส่วนลึกของตัวนาง– ความสามารถที่จะรักผู้อื่นเพราะตัวเขาอย่างที่นางได้รับความรัก

        ประโยคที่พระเยซูเจ้าตรัสกับนาง– “ไปเถิดและตั้งแต่นี้ไปอย่าทำบาปอีก” – ไม่ใช่คำขู่เพราะประโยคนี้ทำให้ความรักที่พระบิดาประทานอย่างฟุ่มเฟือยแก่นางแผ่ซ่านเข้าไปทั้งตัวของนางและความสัมพันธ์ของนางกับผู้อื่นนับจากนาทีที่นางรู้ตัวว่าพระเจ้าทรงรักนางและรักแบบนี้หญิงคนนี้ควรเรียนรู้ด้วยตนเองว่านางจะรักผู้อื่นในความสว่างและในความจริงได้อย่างไรถ้าพระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนนางแต่เพียง“บทเรียนทางศีลธรรม” หญิงคนนี้คงไม่สามารถค้นพบชีวิตได้นี่คือความแตกต่างที่ยังมีอยู่ในวันนี้เกี่ยวกับประสิทธิผลหรือความล้มเหลวของคำสั่งสอนของพระศาสนจักร

        หญิงคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตของนางและหยุดทำบาปได้สำเร็จหรือไม่? มีความเป็นไปได้แต่พระวรสารไม่ได้บอกเราเรื่องนี้พระเจ้าทรงเคารพเสรีภาพของเราทุกคนหลังจากได้พบพระเยซูเจ้าแล้วหลังจากได้เห็นและยอมรับความรักที่พระองค์ประทานให้นางเปล่าๆแล้วหญิงคนนี้อาจทำบาปอีกก็ได้ดังนั้นคำเตือนของพระองค์ว่า“ไปเถิดและตั้งแต่นี้ไปอย่าทำบาปอีก” จึงอาจฟังดูเหมือนเป็นคำขู่สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียวิญญาณของตนอย่างไรก็ดีเราต้องระลึกว่าพระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า“เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้งแต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง” (มธ 18:22) เราต้องพยายามให้อภัยให้มากที่สุดเพราะความเกลียดชังทำความเสียหายได้มากกว่าการให้อภัย“เจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง” หมายถึงการให้อภัยเสมอเราไม่มีความจำเป็นต้องประณามและเราจำเป็นต้องให้อภัยโดยไม่จำกัดขอบเขตของความเมตตาไม่ว่าจะเป็นขอบเขตด้านเวลาหรือเจตนารมณ์ของมนุษย์

3.    ปฏิเสธบาปยอมรับคนบาป

        เมื่อหมดความกลัวแล้วหญิงคนนี้จึงได้สัมผัสกับสายพระเนตรแห่งความเมตตาที่ไหลเข้าสู่หัวใจของนางไม่เคยมีชายใดมองนางอย่างนั้นคำว่า“ไปเถิด” ของพระเยซูเจ้าคงปลูกฝังความมั่นใจในตัวของนางในเวลานั้นคำนี้หมายความว่า“จงกลับไปสู่การมีชีวิตมีความหวังกลับไปบ้านกลับไปหาศักดิ์ศรีของท่านในฐานะหญิงคนหนึ่งประกาศให้ชายทั้งหลายรู้ด้วยการอยู่ท่ามกลางเขาว่าไม่ได้มีแต่บทบัญญัติเท่านั้นแต่มีพระหรรษทานด้วยไม่ได้มีแต่ความยุติธรรมเท่านั้นแต่มีความเมตตาด้วย”

        เพื่อให้เข้าใจประสบการณ์ของหญิงนี้เราต้องคิดถึงหญิงคนหนึ่งที่ถูกตัดสินประหารชีวิตแล้วและในทันใดก็มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกนางว่าการประหารชีวิตนั้นถูกเลื่อนออกไปหญิงผิดประเวณีคนนี้กำลังจะถูกตัดสินประหารชีวิตและลงโทษทันทีแต่บัดนี้นางเป็นอิสระแต่ในกรณีของนางมีมากกว่านั้นเพราะไม่เพียงการลงโทษเท่านั้นที่ถูกยกเลิกแต่บาปของนางถูกลบล้างไปด้วยนางเป็นอิสระไม่เพียงภายนอกในสายตาของคนอื่นๆแต่นางเป็นอิสระภายในเบื้องหน้าพระเจ้าด้วยนางได้รับความชอบธรรมเหมือนกับคนเก็บภาษีเมื่อเขาออกจากพระวิหาร

 

Meditatio :  มองชีวิตของเราโดยมีพระวาจานำทาง

        ข้อความนี้ในพระวรสารเคยรบกวนจิตใจของคริสตชนอยู่บ้างเรื่องนี้เพิ่งถูกนำมารวมไว้ในบทอ่านในพิธีกรรมวันอาทิตย์เมื่อไม่นานมานี้เองเราเข้าใจได้ว่าทำไมจึงยากที่จะรวมเรื่องนี้ไว้ในสารบบพระคัมภีร์และทำไมพระคัมภีร์โบราณจึงตัดเรื่องนี้ออกไปในยุคสมัยที่การล่วงประเวณีถือว่าเป็นบาปที่พระศาสนจักรให้อภัยไม่ได้วิธีการของพระเยซูเจ้า - ซึ่งไม่เรียกร้องให้ผู้ทำความผิดใช้โทษบาปด้วยซ้ำไป– จึงทำให้หลายคนกระอักกระอ่วนใจมีเหตุผลที่จะตัดเรื่องนี้ออกไปจากพระวรสารมากกว่าเหตุผลที่จะนำมาเติมในพระวรสารแต่ไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้เราคิดว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์แม้ว่ายอห์นไม่ได้เป็นผู้เขียนเรื่องนี้ก็ตาม

        ในเรื่องของหญิงผิดประเวณีนี้พระเยซูเจ้าไม่ทรงปฏิเสธธรรมบัญญัติของโมเสสพระองค์เพียงแต่เผยให้เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดบางอย่างซึ่งในกรณีนี้คือการลงโทษด้วยการทุ่มหินสำหรับประเด็นการหย่าร้างภรรยาพระเยซูเจ้าตรัสว่า“เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่านโมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้แต่เมื่อแรกเริ่มนั้นหาเป็นเช่นนี้ไม่” (มธ 19:8) ในกรณีนี้อีกเช่นกันที่พระเยซูเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อล้มล้างธรรมบัญญัติแต่เพื่อทำให้ธรรมบัญญัตินั้นสมบูรณ์และครบถ้วน

        พระเยซูเจ้าไม่ได้บอกว่าการล่วงประเวณีไม่เป็นบาปหรือเป็นความผิดเล็กน้อยแต่พระองค์ทรงประณามบาปนี้อย่างชัดเจนแม้จะตรัสด้วยคำพูดที่เบาๆว่า“อย่าทำบาปอีก” การล่วงประเวณียังเป็นบาปที่ก่อความเสียหายร้ายแรงจนไม่มีผู้ใดแบกไว้ในมโนธรรมโดยไม่เกิดผลร้ายกับวิญญาณของตนเองนอกจากผลร้ายต่อครอบครัวบาปนี้ทำให้มนุษย์อยู่ในสภาพที่หลอกลวงและปิดบังความจริงต้องโกหกและพูดกลบเกลื่อนเสมอบาปนี้ทำให้ใจคนแข็งกระด้างจนเขาต้องหาทางโยนความผิดไปให้คู่ครองของเขาการล่วงประเวณีไม่ได้เป็นเพียงการทรยศต่อคู่สมรสแต่ทรยศตนเองด้วยพระเยซูเจ้าไม่มีจุดประสงค์จะแสดงว่าพระองค์ทรงเห็นชอบกับการกระทำของหญิงคนนี้แต่อย่างใดสิ่งที่พระองค์มุ่งเน้นจะประณามคือทัศนคติของประชาชนที่พร้อมจะขุดคุ้ยและประณามบาปของผู้อื่นอยู่เสมอ

        แต่ในที่นี้เราต้องระวังตัวเพราะเราเสี่ยงที่จะกลายเป็นคนแรกที่ทุ่มหินเราประณามชาวฟาริสีในพระวรสารเพราะเขาปราศจากความเมตตาต่อความผิดของเพื่อนมนุษย์และบางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่าบ่อยครั้งที่เราก็ทำเช่นนี้เหมือนกันในปัจจุบันเราไม่ทุ่มหินใส่ใครก็ตามที่ทำความผิด (เพราะกฎหมายห้ามไว้) แต่เราสาดโคลนใส่เขาหมิ่นประมาทและวิพากษ์วิจารณ์เขาถ้าใครที่เรารู้จักได้ทำผิดหรือถูกนินทาเราจะรู้สึกสะดุดกับการกระทำของเขาทันทีเหมือนกับชาวฟาริสีเคยรู้สึกบ่อยครั้งเรารู้สึกสะดุดมิใช่เพราะเรารังเกียจบาปที่เขาทำแต่เพราะเราเหยียดหยามคนบาปเรื่องของหญิงผิดประเวณีในพระวรสารนี้เสนอวิธีแก้ไขนิสัยเสียข้อนี้ขอให้เราพิจารณาตนเองให้ถี่ถ้วนจากมุมมองของพระเจ้าและเมื่อนั้นเราจะรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องรีบเข้าไปหาพระเยซูเจ้า - เพื่อขออภัยให้ตนเองและมิใช่เพื่อประณามผู้อื่น

        เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีกพระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า“ท่านผู้ใดไม่มีบาปจงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไปเมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ก็ค่อยๆทยอยออกไปทีละคนเริ่มจากคนอาวุโสจนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้นซึ่งยังยืนอยู่ที่เดิม     (ยน 8:2-9)

 

Oratio (ช่วงสนทนากับพระเจ้าหลังจากที่ได้อ่านพระวาจาและอ่านชีวิตของเราแล้ว)

____________________________________________________________________

Contemplatio (อยู่กับพระวาจา)

“ท่านผู้ใดไม่มีบาปจงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”

ให้เราใคร่ครวญประโยคนี้โดยพูดซ้ำบ่อยๆ

____________________________________________________________________

 

Communicatio (นำพระวาจาไปปฏิบัติ)

____________________________________________________________________

 

@@@@@@@