ยอมรับเศรษฐศาสตร์ของพระเจ้าในโลกแห่งดิจิทัล (Pope’s Via Crucis meditations: Embrace God’s economy in a world of algorithms)
ในบทรำพึงของพระสันตะปาปาฟรังซิสสำหรับ "มรรคาศักดิ์สิทธิ์" ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ณ สนามกีฬาโคโลเซียม ตอนเย็นวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2025 โดยมีพระคาร์ดินัล บัลโด เรนา (Cardinal Baldo Reina) เป็นผู้ประกอบพิธีในนามพระสันตะปาปาฟรังซิส พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงอธิบายว่า เมื่อเผชิญกับระบบเศรษฐศาสตร์ที่ไร้มนุษยธรรม ซึ่งสร้างขึ้นจากการคำนวณและอัลกอริทึม ตรรกะที่เย็นชา และผลประโยชน์ที่ไม่ยอมลดละ การเปลี่ยนแปลงแนวทางเดียวก็คือ
หันเข้าหาพระผู้ช่วยให้รอด
เส้นทางที่มอบให้กับมนุษย์ทุกคน คือ การเดินทางเข้าสู่ภายใน การไตร่ตรองสำนึกผิดชอบชั่วดี การหยุดไตร่ตรองความทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้าระหว่างทางไปยังเขากัลวารีโอ มรรคาศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้ว คือการเสด็จลงมาของพระเยซูเจ้า “สู่โลกที่พระเจ้าทรงรัก” (สถานที่ 2) นอกจากนี้ยังเป็น “การตอบรับ การยอมด้วยความรับผิดชอบ” ของพระเยซูเจ้า ผู้ “ถูกตรึงบนไม้กางเขน” ทรงเป็นผู้วอนขอและวางพระองค์เอง “ไว้ระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งกัน” (สถานที่ 11) และทรงนำพวกเขาไปหาพระเจ้า เพราะไม้กางเขนของพระองค์ “ทำลายกำแพง ยกหนี้ ทำลายการตัดสิน นำไปสู่การคืนดี” พระเยซูเจ้า “ผู้ทรงเป็นปีศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง” ทรงถูกถอดฉลองพระองค์ออก และทรงเปิดเผยให้ “ผู้ที่เฝ้าดูพระองค์สิ้นพระชนม์” ทรงมองมายังพวกเขา “เหมือนเป็นที่รักซึ่งพระบิดาทรงมอบหมายไว้” แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของพระองค์ที่จะช่วย “เรา แต่ละคน และทุกคน” (สถานที่ 10)
เศรษฐศาสตร์ของพระเจ้า (God’s economy)
ให้เราได้พยายามหลุดพ้นจากแผนการของตนเอง และเข้าใจ “ระบบเศรษฐศาสตร์ของพระเจ้า” ซึ่ง “ไม่ฆ่า ไม่ทิ้ง ไม่ทำลายล้าง แต่เป็นระบบที่ต่ำต้อย ซื่อสัตย์ต่อโลก” และเดินตามรอยเท้าของพระเยซูเจ้า นั่นก็คือ “ความสุขแท้ 8 ประการ” ซึ่ง “ไม่ทำลายล้าง แต่ปลูกฝัง ซ่อมแซม และป้องกัน” (สถานที่ 3)
“ระบบเศรษฐศาสตร์ของพระเจ้า” (สถานที่ 7) แตกต่างจากระบบเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบัน “จากการคำนวณและอัลกอริทึม ตรรกะที่เย็นชา และผลประโยชน์ที่ไม่อาจลดหย่อนได้” สำหรับมนุษยชาติ พระเยซูเจ้าทรงยอมรับไม้กางเขน น้ำหนักของไม้กางเขนบ่งบอกถึงลมหายใจของพระจิตเจ้า “ผู้ทรงเป็นพระเจ้าและให้ชีวิต” (สถานที่ 2)
ในทางตรงกันข้าม เรา “หมดลมหายใจจากการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ” แต่ “ให้หยุดวิ่งหนีและอยู่ร่วมกับผู้ที่พระองค์ประทานให้เรา ในสถานการณ์ที่พระองค์ได้วางเราไว้” เมื่อนั้น เราจึงหยุด “เป็นนักโทษ” ของตัวเราเอง สิ่งที่เป็นภาระแก่เราจริง ๆ คือ “ความเห็นแก่ตัว” และ “ความเฉยเมย”
คำอธิษฐานภาวนาของผู้คนที่กำลังเดินทาง (The prayer of people on the move)
ในคำนำของมรรคาศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 14 สถาน พระสันตะปาปาฟรังซิสเขียนไว้ว่า ในย่างก้าวของพระเยซูเจ้าที่มุ่งหน้าสู่เขากัลวารีโอนั้น เป็น “การอพยพของเราสู่แผ่นดินใหม่” ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะพระเยซูเจ้า “เสด็จมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก” และเราเองก็ต้อง “เปลี่ยนทิศทาง เห็นความดีงามจากเส้นทางของพระองค์”
ดังนั้น “มรรคาศักดิ์สิทธิ์แต่ละสถานที่ จึงเป็นคำอธิษฐานภาวนาของผู้คนที่กำลังเดินทาง มันรบกวนกิจวัตรประจำวันของเรา” เป็นวิธีที่มีราคาแพงใน “โลกที่คำนวณทุกสิ่ง” แต่ “ความไร้เหตุผลกลับต้องแลกมาด้วยราคาที่แพง” แต่ “ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า ทุกสิ่งจะเบ่งบานขึ้นใหม่ เมืองที่แตกแยกเป็นพวก และแตกแยกจากความขัดแย้ง สามารถก้าวไปสู่ความปรองดองได้ ความเชื่อที่แห้งแล้งสามารถค้นพบความสดใหม่ของพระสัญญาของพระเจ้าได้อีก และใจที่แข็งกระด้างสามารถเปลี่ยนเป็นใจที่อ่อนโยนได้”
เสรีภาพของมนุษย์ (Human freedom)
คำพิพากษาประหารชีวิตที่พระเยซูเจ้าได้รับ ทำให้เราได้ไตร่ตรองถึง “ปฏิสัมพันธ์อันน่าทึ่งระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลของเรา” (สถานที่ 1) จากความไว้วางใจที่ไม่อาจเพิกถอนได้ ซึ่งพระเจ้ามอบพระองค์เองไว้ในมือของเรา” นำมาซึ่ง “ความกระตือรือร้นอันศักดิ์สิทธิ์” ความมหัศจรรย์สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น “การปลดปล่อยผู้ถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม การมองเห็นความซับซ้อนของสถานการณ์ การโต้แย้งการตัดสินที่ฆ่าคน” แต่เรายังคงเป็น “นักโทษ” ของบทบาทที่เรายึดมั่น กลัวความไม่สะดวกของการเปลี่ยนแปลงในทิศทางชีวิตของเรา บ่อยครั้งที่เราละเลยความเป็นไปได้ของหนทางแห่งไม้กางเขน พระเยซูเจ้า “ทรงอยู่เงียบ ๆ ต่อหน้าเราในพี่น้องทุกคนที่ถูกตัดสินและมีอคติ” ท้าทายเรา แต่มีเหตุผลนับพัน เช่น “การโต้แย้งทางศาสนา การโต้แย้งทางกฎหมาย” และ “สิ่งที่เรียกว่า
สามัญสำนึกที่หลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในชะตากรรมของผู้อื่น” นำเราไปอยู่ข้างเฮโรด ปุโรหิต ปีลาต และฝูงชน ถึงกระนั้น พระเยซูเจ้าไม่ได้ล้างมือของพระองค์จากสิ่งนี้ พระองค์ทรงรัก “ในความเงียบ” ในสถานที่ 11 พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขน “แสดงให้เราเห็นว่า ในทุกสถานการณ์มีทางเลือกให้เลือก” “ความจริงอันน่าอัศจรรย์ของอิสรภาพของเรา” ขณะที่พระองค์ทรงดูแลอาชญากรทั้งสองคน ปล่อยให้การดูหมิ่นของคนหนึ่งผ่านไป และยินดีรับการวอนขอของอีกฝ่ายหนึ่ง แม้แต่วิงวอนขอแทนผู้ที่ตรึงพระองค์บนไม้กางเขนว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดยกโทษให้พวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
การล้มลงและลึกขึ้นใหม่ (Falling and rising)
สถานที่ 3 พระเยซูเจ้าทรง “หกล้มครั้งที่หนึ่ง” สอนเราว่า “ทางแห่งไม้กางเขนนั้นสืบสายมาจากแผ่นดินโลก ผู้ยิ่งใหญ่ถอนตัวออกจากที่นั่นเพราะปรารถนาสวรรค์ แต่สวรรค์กลับต่ำลง และเราสามารถพบมันได้แม้ในขณะที่ล้มลง” สถานที่ 7 พระองค์แสดงให้เราเห็น “ล้มลงแล้วลุกขึ้นใหม่ ล้มลงแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง” การผจญภัยของมนุษย์กับบาปและการกลับใจ “เราลังเล หลงทาง หลงหาย” แต่เราก็สัมผัสถึงความยินดีเช่นกัน “ความยินดีแห่งการเริ่มต้นใหม่ ความยินดีของการบังเกิดใหม่” มนุษย์เป็น “งานฝีมือ” มีส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระหรรษทานและความรับผิดชอบ พระเยซูเจ้าทรงเป็น “หนึ่งในพวกเรา” ไม่กลัวที่จะสะดุดล้ม อย่างไรก็ตาม เรามักจะซ่อนความตกต่ำของเราไว้ โดยปฏิเสธเส้นทางที่พระเยซูเจ้าทรงเลือก ระบบเศรษฐศาสตร์ของพระเจ้าที่ “เก้าสิบเก้ามีความสำคัญมากกว่าหนึ่ง” นั้นไร้มนุษยธรรม โลกในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นจากตรรกะดังกล่าว “ของการคำนวณและอัลกอริทึม ของตรรกะที่เย็นชา และผลประโยชน์ที่ไม่อาจลดหย่อนได้” ในทางตรงกันข้าม “ระบบเศรษฐศาสตร์ของพระเจ้า” นั้น “แตกต่าง” การหันไปหาพระเยซูเจ้าผู้ทรงล้มลงแล้วลุกขึ้นใหม่ คือ “การเปลี่ยนแปลงเส้นทางและการเปลี่ยนจังหวะ การกลับใจใหม่ที่ฟื้นฟูความชื่นชมยินดีและนำเรากลับบ้าน”
เช่นเดียวกับซีโมนชาวไซรีน (Like the Cyreneans)
ในสถานที่ 5 ซีโมนชาวไซรีน เมื่อกลับมาจากทุ่งนา “พวกทหารเอาไม้กางเขนวางใส่เขา” แสดงให้เห็นว่า เราสะดุดเจอพระเจ้าได้อย่างไม่คาดคิด แม้ว่าซีโมนไม่ได้ขอไม้กางเขน แต่เขาก็แบกมันเอาไว้ แอกของพระเยซูเจ้านั้น “แอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” และพระองค์ทรงปรารถนาให้เรามีส่วนร่วมในงานของพระองค์ที่ “ไถดินเพื่อให้มันงอกขึ้นใหม่” เราต้องการความเบาสบายที่น่าแปลกใจนั้น หากไม่มีพระเจ้า ความเหน็ดเหนื่อยก็ไร้ประโยชน์ “บนเส้นทางแห่งไม้กางเขน กรุงเยรูซาเล็มใหม่ก็กำลังฟื้นคืนขึ้นมา”
บรรดาสตรีระหว่างไปเขากัลวารีโอ (Women along the road to Calvary)
สถานที่ 4, 6 และ 8 เน้นที่บรรดาสตรี ได้แก่ พระนางมารีย์ นางเวโรนิกา บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็ม การเป็นศิษย์ของพระนางมารีย์ “ไม่ใช่การเสียสละแต่เป็น#การค้นพบอย่างต่อเนื่อง ” พระนาง “เป็นศิษย์คนแรก” แสดงให้เราเห็นว่า “ในพระเจ้า คำพูดคือการกระทำ คำสัญญาคือความจริง”ผ้าคลุมของเวโรนิกาเผยให้เห็นใบหน้าของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นหลักฐานของ “การตัดสินใจของพระองค์ที่จะรักเราจนลมหายใจสุดท้าย และแม้กระทั่งตลอดไป” เพราะ “ความรักเข้มแข็งเท่ากับความตาย” และบรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มรู้สึกเป็นทุกข์ใจจนกระทั่งร้องไห้ออกมา ถูกเร่งเร้าให้เศร้าโศก “เพื่อตัวของพวกนางเองและบรรดาลูก ๆ ของพวกเธอ” สำหรับการอยู่ร่วมกันที่บาดเจ็บของเรา โลกที่แตกสลายของเราต้องการ “น้ำตาที่จริงใจและไม่ใช่แค่เพียงผิวเผิน”
พระเยซูเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้มีความหวัง (Jesus is among those who hope)
สถานที่ 13 โยเซฟชาวอาริมาเธีย “คนดีและชอบธรรม … รอคอยอาณาจักรของพระเจ้าด้วยความหวัง” เข้าไปรับร่างของพระเยซูเจ้า “อยู่ในมือของผู้ที่ยังคงมีความหวัง หนึ่งในผู้ที่ปฏิเสธว่าความอยุติธรรมจะชนะอยู่เสมอ” โดยมอบ “ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่” ให้กับเรา และทำให้เรามีกำลังใจขึ้น ในที่สุด สถานที่ 14 ความเงียบในวันสะบาโตของวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ “สอนเราว่า เราจะไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร ในเวลาที่เราได้รับคำสั่งให้รอเท่านั้น โปรดสอนเราให้รู้จักอ่อนไหวต่อฤดูกาลต่าง ๆ ของโลก” พระเยซูเจ้า “ถูกฝังในหลุมฝังศพ” มีส่วนร่วมในสภาพมนุษย์ของเรา โดยลงไปสู่ส่วนลึกที่สุดที่เรากลัว สอนเรื่องการพักผ่อน การคาดหวัง และเตรียมสิ่งสร้างทั้งหมดให้พร้อมสำหรับสันติสุขจากการกลับคืนชีพ
บทภาวนาสุดท้าย (Concluding Prayer)
“จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด” (Laudato sì, mi’ Signore) ในบทภาวนาของนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี บ้านส่วนร่วมของเราเป็นบ้านของพี่น้องที่ร้องไห้ เพราะความทุกข์ที่เราได้ก่อขึ้นกับเธอ พี่น้องทุกคน (Fratelli tutti) ให้เรารับเอารสชาติของพระวรสาร ‘พระองค์ทรงรักเรา’ ดังที่นักบุญเปาโลได้เขียนไว้ ‘เพื่อให้เราตระหนักว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถ ‘แยกเรา’ จากความรักนั้นได้’ เราได้เดินบนมรรคาศักดิ์สิทธิ์ เราได้หันเข้าหาความรักซึ่งไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราจากมันได้ ในขณะนี้ ขณะที่กษัตริย์บรรทม และความเงียบอันยิ่งใหญ่แผ่คลุมไปทั่วแผ่นดิน ขอให้เราอธิษฐานภาวนาตามคำพูดของนักบุญฟรังซิส เพื่อขอพระหรรษทานแห่งการกลับใจจากใจจริงว่า
“ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงพระสิริรุ่งโรจน์สูงสุด โปรดประทานแสงสว่างของพระองค์ให้เข้าไปสู่ความมืดมิดในใจของข้าพเจ้า โปรดประทานความเชื่อที่ถูกต้อง ความหวังอันมั่นคง ความรักที่สมบูรณ์ และความถ่อมตนอันลึกซึ้ง ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานพระปรีชาญาณและความเข้าใจแก่ข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ที่แท้จริงและศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ อาแมน”