จากเรื่องราวในพระวรสารวันนี้ พี่น้องลองจินตนาการดูสิครับว่า หากสองพันปีก่อนชาวยิวมีหนังสือพิมพ์ พวกเขาคงจะพาดหัวข่าวทำนองนี้ “นองเลือดในพระวิหาร! ปีลาตสังหารผู้ก่อการร้ายชาวกาลิลี” อีกข่าวหนึ่งก็คงพาดหัวทำนองว่า “หอสิโลอัมถล่ม! สิบแปดคนงานตายอนาถ” และเมื่อชาวยิวอ่านข่าวเรื่องชาวกาลิลีถูกสังหารก็คงพูดเหมือนกันว่า “สมน้ำหน้า พวกผู้ก่อการร้ายมันก็สมควรต้องตายแบบนี้แหละ” ส่วนพวกที่ถูกหอสิโลอัมถล่มทับ พวกเขาคงพูดกันว่า “ก็ดีแล้วหล่ะ พระเจ้าทรงรู้ดีว่าพวกเขาทำบาปอะไรไว้บ้างจึงสมควรต้องตายแบบนี้” แล้วก็พลิกหนังสือพิมพ์ไปอ่านข่าวอื่นๆ ต่อไป
พี่น้องครับ ชาวยิวที่นำเรื่องเหล่านี้มาบอกพระเยซูเจ้าดังที่เราได้ฟังในพระวรสารอาทิตย์นี้ ก็คงมีความคิดอย่างเดียวกันนั่นคือ “คนบาปอย่างพวกเขาก็สมควรตายแล้ว!”
แต่พระเยซูเจ้าไม่มีทางเห็นด้วยกับความคิดแบบนี้ พระองค์จึงตรัสว่า “ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่าคนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน” (ลก 13:2-5)
ความหมายของพระองค์ก็คือ เมื่อเราเห็นคนอื่นประสบภัยพิบัติหรือเคราะห์กรรมใดๆ ก็ตาม เราจะเหมาเอาว่าพวกเขาได้ทำบาปกรรมบางอย่างที่ทำให้สมควรได้รับเคราะห์กรรมเช่นนั้นไม่ได้ แต่เราต้องตระหนักว่าเคราะห์กรรมเหล่านั้นมันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และถ้าเคราะห์กรรมนั้นมันยังไม่เกิดกับเราเวลานี้ ก็เป็นเพราะพระเจ้าทรงรักและเมตตาเรา เป็นเพราะพระหรรษทานของพระองค์ที่ทรงยืดชีวิตของเราออกไปอีกหนึ่งวัน หรืออีกหนึ่งอาทิตย์ หรืออาจจะอีกหนึ่งปีก็ได้
แต่ทั้งนี้เราต้องตระหนักว่า ต้นมะเดื่อเทศที่ไร้ผลในพระวรสารวันนี้ มันได้รับการต่ออายุไปอีกหนึ่งปีก็เพื่อมันจะได้บังเกิดผลฉันใด เราได้รับพระหรรษทานให้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพื่อเราจะได้บังเกิดผลฉันนั้น นั่นคือเพื่อเราจะได้ถ่อมตนและกลับใจ เพราะพระองค์ตรัสว่า “ถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ท่านทุกคนจะพินาศไปเช่นเดียวกัน” (ลก 13:5)
เพราะฉะนั้น ครั้งต่อไปที่เราได้ยินข่าวรถชน เครื่องบินตก ไฟไหม้ แผ่นดินไหว คนติดโควิด หรืออะไรทำนองนี้ ขอให้เราตระหนักว่าเหตุการณ์ทำนองนี้อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และหากพระเจ้าโปรดให้เรารอดพ้นจากหายนะเหล่านี้ก็เพื่อเราจะได้กลับใจและบังเกิดผล ไม่ใช่เพื่อเราจะได้ไปตัดสินคนอื่นที่ประสบกับเคราะห์กรรมว่า “สมน้ำหน้า” หรือ “สมควรแล้ว”
อนึ่ง ในการกลับใจนั้น เรามักคิดกันว่าเป็นเรื่องของคนบาปที่ต้องหันเหและละทิ้งหนทางของบาป อันที่จริง คนดีก็ต้องกลับใจเหมือนกัน คือเราต้องไม่ทะนงตน หรือมั่นใจในตนเองมากจนเกินไป
ระหว่างสงครามกลางเมืองในอเมริกา นายพลจอห์น เซดวิค สั่งทหารให้ก่อเนินทรายเตี้ยๆ เพื่อเป็นบังเกอร์ป้องกันการยิงของศัตรู แล้วท่านก็เดินโผล่หัวพ้นเนินทรายเพื่อตรวจดูตำแหน่งของข้าศึก เมื่อนายทหารเตือนให้ท่านก้มต่ำลง ท่านตะคอกว่า “ระยะห่างอย่างนี้ ต่อให้ยิงช้างก็ไม่ถูก” พูดยังไม่ทันขาดคำ ท่านก็ถูกยิงล้มฟุบลง นี่คือความมั่นใจทางการทหารมากเกินไป
ในเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณ นักบุญเปาโลก็เตือนเราในบทอ่านที่สองวันนี้ว่าอย่ามั่นใจในตนเองมากจนเกินไป อย่ามัวแต่อ้างว่าฉันรับศีลล้างบาปแล้ว ฉันมาวัดแก้บาปรับศีลสม่ำเสมอ ฉันเป็นกรรมการหลายคณะ ฉันช่วยงานวัดเต็มที่ ฯลฯ นักบุญเปาโลเตือนเราว่า “ผู้ที่คิดว่าตนยืนหยัดมั่นคงอยู่ พึงระวังอย่าให้ล้ม”
พร้อมกันนี้นักบุญเปาโลก็พิสูจน์คำเตือนของท่านโดยยกตัวอย่างของบรรดาบรรพบุรุษของชาวยิว เมื่อพระเจ้าทรงส่งโมเสสไปช่วยพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ มุ่งหน้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา พวกเขาก็ได้รับการล้างด้วยน้ำในทะเลแดงเหมือนที่เราได้รับศีลล้างบาป พวกเขาได้กินอาหารฝ่ายจิตคือมานาและได้ดื่มเครื่องดื่มฝ่ายจิตคือน้ำจากศิลาเหมือนที่เราได้รับพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า “แม้กระนั้น พระเจ้าก็มิได้พอพระทัยคนส่วนใหญ่เหล่านั้น พวกเขาล้มตายเกลื่อนกลาดอยู่ในถิ่นทุรกันดาร” (1 คร 10:5)
นั่นคือ แม้พวกเขาจะเป็นประชากรแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าแล้ว แต่พวกเขาก็ยังปล่อยให้ความปรารถนาในสิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้น ชอบบ่นว่าพระเจ้า พวกเขาจึงต้องพินาศไป นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวยิวในอดีต ซึ่งนักบุญเปาโลไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับพวกเราในปัจจุบัน
ใช่ เรามีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมในความรอดพ้นที่พระเยซูเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้ก็จริงอยู่ แต่ความหวังนี้ยังไม่เป็นความจริงชนิดที่ไม่มีใครจะช่วงชิงไปจากเราได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องสุภาพถ่อมตน และกลับใจ เพื่อจะได้บังเกิดผลอย่างอุดมสมบูรณ์
วันนี้ ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับชาวสวนซึ่งเป็นคนกลางคอยวอนขอพระเจ้าเพื่อพวกเรา เราทราบดีว่าชาวสวนผู้ยิ่งใหญ่นี้ก็คือพระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้พระองค์ทรงทำหน้าที่ชาวสวนผ่านทางชายหญิงทุกคนที่ช่วยเหลือเราให้ผ่านจากการเป็นคนที่ไม่บังเกิดผล ไปเป็นคนที่บังเกิดผล ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของเราเอง ครูบาอาจารย์ของเรา พระสงฆ์ นักบวช เพื่อนฝูง หรือแม้แต่บรรดาศัตรูของเราที่ช่วยกระตุ้นเตือนเราอาศัยคำวิพากษ์วิจารณ์หรือคำติฉินนินทาของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม ให้เราขอบคุณพวกเขาด้วย และขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงโปรดประทานโอกาสให้เรามีมหาพรตอีกครั้งหนึ่งในปีนี้
ที่สุด ให้เราสัญญากับพระองค์ว่า เราจะใช้เทศกาลแห่งพระหรรษทานนี้อย่างดีที่สุดเพื่อเราจะได้กลับใจและชีวิตของเราจะได้บังเกิดผลยิ่งๆ ขึ้น