Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2025 สัปดาห์ที่ 8 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 79

     พระวรสารวันนี้ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่ไม่เกี่ยวเนื่องกันเลย อันอาจมีสาเหตุมาจาก 2 ประการด้วยกัน
     ประการแรก เป็นไปได้ว่าลูกานำคำพูดของพระเยซูเจ้าที่ตรัสไว้ในโอกาสต่างๆ มารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้เป็นเสมือนคู่มือฉบับย่อในการดำเนินชีวิต
     ประการที่สอง เป็นไปได้อีกเช่นกันว่านี่คือวิธีเทศน์สอนอย่างหนึ่งของชาวยิวซึ่งเรียกกันว่า Charaz (ชาราซ) ซึ่งแปลว่า สายประคำ บรรดาธรรมาจารย์มักสอนว่า เพื่อเรียกร้องความสนใจ ผู้เทศน์จะมัวอธิบายหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งนานๆ ไม่ได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนไปหัวข้ออื่นโดยเร็วเหมือนสวดสายประคำ จึงทำให้คำพูดดูเหมือนจะไม่ต่อเนื่องกัน
อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่า อุปมาที่พระเยซูเจ้าตรัสสอนเราในพระวรสารวันนี้มี 4 เรื่องด้วยกัน
     เรื่องแรก พระองค์ตรัสสอนว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งคู่จะตกลงไปในคูมิใช่หรือ ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน” (ลก 6:39-40)
พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้ก็เพื่อจะเตือนเราว่า ไม่มีอาจารย์ท่านใดสามารถนำพาลูกศิษย์ไปได้ไกลกว่าที่ตัวอาจารย์เองมาถึง หากไปไกลกว่านี้ก็เหมือนคนตาบอดนำทางคนตาบอด ผลก็คือจะตกลงไปในคูทั้งคู่ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องพยายามแสวงหาอาจารย์ที่ดีที่สุเพื่อจะได้นำพาเราไปให้ไกลที่สุด
     และหากเราเป็นครู เราต้องไม่ลืมว่า เราไม่อาจสอนในสิ่งที่เราไม่รู้ หรือสอนในสิ่งที่เราไปไม่ถึง มิฉะนั้นเราก็จะพาลูกศิษย์ตกคูอีกเช่นกัน
มาถึงตรงนี้ หวังว่าพี่น้องคงรู้แล้วว่าใครคืออาจารย์ที่ดีที่สุด ที่จะพาเราไปได้ไกลที่สุด ไกลถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า
     เรื่องที่สอง พระองค์ตรัสว่า “ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘พี่น้อง ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่ท่านไม่เห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเอง ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด ท่านจะเห็นชัดแล้วจึงค่อยไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง”
นี่คือหนึ่งในตัวอย่างอารมณ์ขันของพระเยซูเจ้า พระองค์คงยิ้มขณะกำลังคิดวาดภาพคนคนหนึ่งซึ่งมีท่อนซุงใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ในดวงตาของตน กำลังเขี่ยเศษฟางเล็กๆ ออกจากดวงตาของคนอื่น
     พระองค์ต้องการสอนเราว่า เราไม่มีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเว้นแต่ว่าตัวเราเองจะไม่มีความผิดพลาดใดๆ
พูดตรงๆ ก็คือ เราไม่มีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นด้วยประการทั้งปวง เพราะแม้แต่คนดีที่สุดในพวกเราก็ยังมีบาป และในเวลาเดียวกัน คนที่เลวที่สุดในพวกเราก็อาจมีความดีหลงเหลืออยู่เพียงพอที่เราจะไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์หรือด่าว่าเขา
เรื่องที่สาม พระองค์ตรัสว่า “ต้นไม้ที่เกิดผลไม่ดีย่อมไม่ใช่ต้นไม้พันธุ์ดี หรือต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมไม่ให้ผลดีเช่นกัน เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น เราย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม หรือเก็บผลองุ่นจากกอหนาม”
พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพื่อจะเตือนเราว่า เรารู้จักต้นไม้ว่าดีหรือไม่ดีก็จากผลของมันฉันใด เราก็รู้จักมนุษย์ว่าดีหรือไม่ดีได้จากผลแห่งการกระทำของตน ไม่ใช่จากคำพูด ฉันนั้น
เหตุว่า คำพูดดีๆ ไม่มีทางดีไปกว่าการทำดีๆ ได้เลย !!
     ดังนั้น การเทศน์ การสอน รวมทั้งการประกาศข่าวดีของเรา จึงต้องเป็นความจริงที่เห็นได้จากบุคลิกภาพและจากชีวิตของเราเอง
เราต้องไม่ลืมว่า หนทางเดียวที่จะพิสูจน์ว่าศาสนาคริสต์เหนือกว่าศาสนาอื่นก็ตรงที่มันสามารถผลิตคนที่เหนือกว่านั่นเอง
เพราะฉะนั้น นักบุญเปาโลจึงเตือนเราในบทอ่านที่สองวันนี้ให้พยายามทำดีที่สุด “เพราะงานหนักของเราจะไม่สูญเปล่าสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า” (1 คร 15:58)
เรื่องที่สี่ พระองค์ตรัสว่า “คนดีย่อมนำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีในใจของตน ส่วนคนเลวย่อมนำสิ่งที่เลวออกมาจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน เพราะปากย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา”
เรื่องสุดท้ายนี้ พระองค์ต้องการเตือนเราว่า คำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากของเราก็คือผลผลิตจากใจซึ่งเป็นเสมือนขุมทรัพย์ของเรานั่นเอง
เราจะพูดดี พูดถึงพระเจ้าได้ก็เพราะจิตใจของเราดีและมีพระจิตของพระเจ้าดำรงอยู่ในใจของเรา
     ไม่มีสิ่งใดจะเผยแสดงสถานะของจิตใจของเราว่าเป็นอย่างไรได้ดีไปกว่าคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจของเราเอง
หากเราถามทางเพื่อจะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง คนหนึ่งอาจจะบอกเราว่ามันอยู่ใกล้โบสถ์ อีกคนหนึ่งอาจจะบอกว่ามันอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า และอีกคนหนึ่งอาจจะบอกว่ามันอยู่ใกล้ร้านเหล้าก็ได้
หากเราบังเอิญต้องตอบคำถามทำนองนี้ คำพูดของเราย่อมบ่งบอกความนึกคิดและความสนใจที่สุมอยู่ในหัวใจของเราได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ บทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือบุตรสิราจึงสอนเราว่า “การสนทนานั้นพิสูจน์นิสัยของมนุษย์” “วาจาย่อมเปิดเผยใจของมนุษย์ว่าดีหรือไม่ดี” และ “การพูดมันส่อนิสัยของมนุษย์”
หรือที่คนไทยเราคุ้นหูว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล”
และที่ร้ายก็คือ คำพูดของเรามันมักจะทรยศเราและทำให้ตัวเราเสียหายอยู่เสมอ เราจึงต้องระมัดระวังคำพูดของเราตลอดเวลา !!!
     วันนี้ ให้เราขอบคุณพระเยซูเจ้าที่ทรงโปรดประทานคำสอนอันเป็นหลักธรรมนำชีวิตให้แก่เรา และให้เราวอนขอพระองค์โปรดประทานพระหรรษทานช่วยเรา ให้เราสามารถดำเนินชีวิตตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน นั่นคือให้เราทำมากกว่าพูด และหากต้องพูดก็พูดด้วยความระมัดระวังและไม่พาดพิงวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นด้วยเทอญ