Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2025 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 142

     มีพี่น้องท่านใดอยากยากจน อยากถูกเกลียดชัง ถูกผลักไส ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือถูกรังเกียจบ้างไหม
ตรงกันข้าม มีพี่น้องท่านใดอยากร่ำรวย อยากอิ่มหนำ อยากได้รับความเบิกบานใจ และได้รับเกียรติยกย่องบ้างไหม
แน่นอน เราอยากร่ำรวย อยากได้ลาภ ได้ยศ ได้เกียรติ
     แต่ในพระวรสารโดยนักบุญลูกาวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า ผู้ที่ยากจน หิวโหย ร้องไห้ และถูกเกลียดชัง ย่อมเป็นสุข ส่วนคนที่ร่ำรวย อิ่มหนำ หัวเราะ และได้รับเกียรติยกย่องกลับจะได้รับความวิบัติ
เกิดอะไรขึ้นหรือ? พระเจ้าต้องการให้เรายากจน ไม่อยากให้เราร่ำรวยรึงัย?
แน่นอนว่า ไม่ใช่!
     ไม่ว่าจะเป็นความยากจน การถูกเกลียดชัง การถูกผลักไส ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือถูกรังเกียจ ล้วนแล้วแต่เป็นเคราะห์ร้ายสำหรับเราทุกคน ไม่มีพ่อแม่คนใดหรอกที่อยากให้ลูกของตนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระองค์ก็ไม่ทรงประสงค์ให้บรรดาบุตรของพระองค์ต้องประสบกับชะตากรรมอย่างนี้เหมือนกัน
แล้วคนที่บังเอิญต้องตกอยู่ในชะตากรรมเคราะห์ร้ายอย่างนี้จะมีความสุข แถมยังเป็นความสุขที่แท้จริงด้วยได้อย่างไรกัน?
คำตอบซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจความสุขแท้จริงที่นักบุญลูกาพูดถึงในพระวรสารวันนี้อยู่ที่คำว่า “เพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์”
นั่นคือ ทุกคนที่ประสบกับเคราะห์ร้ายเช่นนี้เป็นสุขก็เพราะว่าพวกเขาเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า
     เบื้องหลังอันเป็นที่มาของคำสอนนี้ก็คือ ในสมัยของลูกา คริสตชนถูกเบียดเบียนอย่างหนัก ผู้ใดกลับใจเป็นคริสตชนก็จะถูกตัดขาดจากครอบครัว จากมรดก จากเพื่อนฝูง และจากศาลาธรรม จนไม่อาจคบค้าสมาคมหรือทำธุรกิจกับผู้ใดได้อีก
พระเยซูเจ้าทรงทราบล่วงหน้าถึงการเบียดเบียนที่จะเกิดขึ้นนี้ พระองค์จึงตรัสกับบรรดาผู้ที่ต้องการจะเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจในอนาคตของตนว่า
“ท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะอิ่ม ท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะหัวเราะ ท่านทั้งหลายเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิ่นท่าน รังเกียจนามของท่านประหนึ่งนามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์ จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงโลดเต้นยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์”
พระดำรัสนี้แหละที่ทำให้ผู้ที่คิดจะเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ รวมถึงเราทุกคนยิ้มออก เพราะเราได้เลือกในสิ่งที่ถูกต้อง
ถามว่า ทุกวันนี้ยังมีการเบียดเบียนให้เราละทิ้งพระเยซูเจ้าอยู่อีกหรือไม่?
     คำตอบก็คือมีมากกว่าในอดีตเสียอีก ในอดีตนั้นเขาใช้วิธีข่มขู่ให้เรากลัวเพื่อจะได้ละทิ้งพระเยซูเจ้า แต่ทุกวันนี้ เป็นเราเองที่เต็มใจเดินตามความเย้ายวนของโลก แล้วหันหลังให้พระองค์
ก็หวังว่าเราจะตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ถูกต้องเช่นเดียวกับบรรดาอัครสาวกและคริสตชนในยุคเริ่มแรก
แต่ถ้าเรายังมัวแต่ยึดติดอยู่กับทรัพย์สมบัติของโลกนี้ อย่างเช่นเศรษฐีหนุ่มในพระวรสาร หรือยึดติดอยู่กับวัตถุนิยมและบริโภคนิยม เราก็เลือกผิด เพราะสิ่งที่เราเลือกนั้นไม่ได้นำไปสู่ความสุขที่จีรังยั่งยืน แต่กลับนำไปสู่วิบัติที่ยั่งยืนตลอดนิรันดร
     แล้วความสุขที่จีรังยั่งยืน และเป็นบำเหน็จรางวัลยิ่งใหญ่นั้นคืออะไร?
นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สองวันนี้ว่าสิ่งนั้นคือ การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย
กระนั้นก็ตาม ยังมีบางคนที่ไม่เชื่อว่าจะมีการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนไม่เชื่อก็เพราะพวกเขาอ้างว่าเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้และพิสูจน์ไม่ได้ (ประจักษ์นิยม) อย่างเช่นพวก “สะดูสียืนยันว่าไม่มีการกลับคืนชีพและไม่มีทั้งทูตสวรรค์และจิต” (กจ 23:8)
     อีกพวกหนึ่ง โดยเฉพาะชาวกรีก พวกเขาถือว่ามนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ (dualism) วิญญาณนั้นเป็นอมตะ แต่ร่างกายนั้นย่อมเสื่อมสลายไป ไม่มีทางที่จะกลับมารวมกับวิญญาณได้อีก เพราะฉะนั้น “เมื่อเขาเหล่านั้น (ชาวเมืองเอเธนส์) ฟังคำพูดเรื่องการกลับคืนชีวิตของบรรดาผู้ตาย (จากนักบุญเปาโลแล้ว) บางคนหัวเราะเยาะ บางคนพูดว่า ‘รอไว้ฟังเรื่องนี้จากท่านในคราวหน้าก็แล้วกัน’” (กจ 17:32) พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาไม่เชื่อ และไม่อยากฟัง
สุดท้าย แม้ในพวกคริสตชนด้วยกันเองก็มีบางคนที่สอนผิดๆ ว่า การกลับคืนชีพไม่ใช่เรื่องของชีวิตหลังความตาย แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในจิตใจของคริสตชน จะไม่มีการกลับคืนชีพของร่างกายหลังความตายอีก นักบุญเปาโลจึงกล่าวว่า “คำพูดของบุคคลเหล่านี้จะแพร่ออกไปเหมือนกับเนื้อร้าย เช่นเดียวกับฮีเมเนอัสและฟิเลทัส เขาทั้งสองคนหลงผิดจากความจริงโดยพูดว่าการกลับคืนชีพเกิดขึ้นแล้ว จึงทำให้ความเชื่อของคนบางคนสับสน” (2 ทธ 2:17-18)
คาดว่าเป็นพวกคริสตชนที่สอนผิดกลุ่มนี้เองที่นักบุญเปาโลกำลังต่อสู่ด้วย ท่านกล่าวว่า “ถ้าเราประกาศว่า พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว เพราะเหตุใดบางท่านจึงพูดว่าบรรดาผู้ตายจะไม่กลับคืนชีพเล่า” (1 คร 15:12)
     ประเด็นของนักบุญเปาโลก็คือ คนพวกนี้หลงผิดเพราะว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ พระเยซูเจ้าก็ไม่ได้กลับคืนชีพด้วย ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ บรรดาผู้ตายก็จะกลับคืนชีพด้วย บาปกำเนิดของอาดัมทำให้มนุษยชาติตกอยู่ในบาปฉันใด การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าก็ทำให้มนุษยชาติกลับคืนชีพฉันนั้น
แม้การโต้เถียงนี้จะผ่านพ้นไปสองพันปีแล้ว แต่ทุกวันนี้เราก็ยังคงเป็นเหมือนพวกสะดูสีที่ให้ราคาเฉพาะกับสิ่งที่เห็นได้ จับต้องได้ และพิสูจน์ได้ รวมถึงพวกที่ยอมรับความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด โดยคิดว่าหากชีวิตนี้พลาดพลั้งไปก็ยังมีชีวิตหน้าให้แก้ตัว จึงดำเนินชีวิตแบบวัตถุนิยมและบริโภคนิยมสุดโต่ง แล้วก็กล่าวเหมือนชาวโครินธ์เมื่อสองพันปีก่อนว่า “เราจงกินและดื่มเถิด เพราะพรุ่งนี้เราก็จะตายแล้ว” (1 คร 15:32)
     แต่ความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสอนว่า มีชีวิตนี้เพียงชีวิตเดียวที่เราจะต้องตัดสินใจเลือกให้ถูกต้อง ระหว่างความสุขแท้จริง กับวิบัติแท้จริงตลอดนิรันดร
อย่าลืมว่าประกาศกเยเรมีย์พูดไว้เมื่อสองพันหกร้อยปีก่อนแล้ว ดังที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งว่า “คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร พระเจ้าทรงเป็นความหวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากออกไปที่ลำน้ำ      เมื่อความร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยู่เสมอ เขาจะไม่กังวลใจในปีที่แห้งแล้ง จะไม่หยุดออกผล”
ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดให้เรายึดมั่นในการเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ และให้เราหันเหจากชีวิตที่ยึดมั่นในวัตถุนิยมและการแสวงหาความสุขที่ไม่จีรังยั่งยืน เพื่อเราจะได้รับพระพรจากพระเจ้า ได้พบกับความสุขแท้จริง และสักวันหนึ่ง เราจะได้โลดเต้นยินดี เพราะบำเหน็จรางวัลของเรายิ่งใหญ่นักในสวรรค์