วันนี้มีนิทานเกี่ยวกับเป็ดหัดว่ายน้ำมาเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีเป็ดและไก่คู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านริมทะเล อาหารของพวกมันก็คือปลาเน่าๆ ที่ชาวประมงโยนทิ้ง ทุกๆ วันพวกมันคอยจ้องมองนกกระสา (เป็นนกลุยน้ำขนาดใหญ่ ขายาว คอยาว และปากยาวแข็ง) ว่ายน้ำผลุบโผล่อยู่ในทะเลคอยจับปลาและกินปลาสดๆ เจ้าเป็ดก็อยากจะกินปลาสดๆ บ้าง แต่ไก่พูดกับเป็ดว่า “ทำไมถึงอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองมีไม่ได้ล่ะ นกกระสาเค้าเป็นนกน้ำ ตัวเบา เราเป็นนกบก ว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าเจ้าขืนลงทะเลด้วยน้ำหนักตัวแบบนี้มีหวังจมเหมือนก้อนหิน จบชีวิตเปล่าๆ” ปรากฏว่าเป็ดเชื่อไก่แล้วก็ทนกินปลาเน่าๆ ต่อไป
ที่สุด วันหนึ่งอากาศร้อนและชื้นมาก เจ้าเป็ดไม่อาจทนกินปลาเน่าๆ ได้อีกต่อไปเพราะกลิ่นมันแรงมาก เป็ดก็เลยไปนั่งเงียบๆ จ้องมองทะเล จังหวะนั้นเองนกกระสาว่ายน้ำผ่านมาเห็นเจ้าเป็ดที่น่าสงสารจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เป็ดก็เล่าให้ฟังว่าตนอยากจะว่ายน้ำเป็นมานานแล้ว จะได้กินปลาสดๆ กับเขาบ้าง แต่พระเจ้าสร้างตนให้เป็นนกบก ตัวหนัก นกกระสาจึงบอกเป็ดว่าก่อนหน้านี้ตนก็ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน แต่เพราะความหิวบังคับก็เลยต้องกระโดดลงทะเลแล้วก็พบว่าตนว่ายน้ำได้ พร้อมกันนั้นนกกระสาก็ชวนเป็ดให้กระโดดลงทะเลและลองว่ายน้ำดู เป็ดกลัว แต่นกกระสาก็คอยให้กำลังใจจนเป็ดเอาชนะความกลัว ค่อยๆ ก้าวลงทะเล แล้วก็พบว่าตัวเองลอยได้ ไม่จม และไม่ช้ามันก็เรียนรู้ที่จะว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถจับและกินปลาสดๆ ได้สมความปรารถนา
พี่น้องเห็นวิธีที่เป็ดมันค้นพบตัวตนและความสามารถที่พระเจ้าประทานให้มันไหม เป็ดไม่ได้เป็นเพียงนกบกแต่เป็นนกน้ำด้วย ตราบใดที่มันเชื่อว่ามันเป็นนกบก มันก็อยู่บนบก แล้วก็อดอยากน่าสงสาร แต่เมื่อมันค้นพบตัวตนและความสามารถที่แท้จริง มันก็ว่ายน้ำได้และอิ่มหมีพีมัน
เรื่องราวของบารทิเมอัสในพระวรสารวันนี้ก็เช่นเดียวกัน จากขอทานข้างถนนที่ไม่มีใครรู้จัก กลายมาเป็นมนุษย์ผู้มีศักดิ์ศรีและก็ตระหนักในความเป็นบุตรของพระเจ้าที่พระเจ้าประทานให้
เรื่องราวของบารทิเมอัสในพระวรสารโดยนักบุญมาระโกที่เราได้ฟังวันนี้ เป็นที่สนใจของนักพระคัมภีร์มาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในพระวรสารทั้งสี่ที่มีการระบุชื่อของผู้ที่ได้รับการเยียวยารักษาโดยพระเยซูเจ้า
ที่สำคัญ มาระโกระบุชื่อถึงสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกคือ “บารทิเมอัส” ครั้งที่สองคือ “บุตรของทิเมอัส”
เหตุที่มาระโกเน้นและให้ความสำคัญกับชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่า ในสมัยโบราณ ชื่อนั้นไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อระบุตัวตนเท่านั้น แต่มันบ่งบอกถึงบุคลิกภาพและจุดมุ่งหมายของคนๆ นั้นด้วย
ชื่อบารทิเมอัสมาจากภาษาอาราเมอิก tame' หมายถึง “บุตรแห่งความด่างพร้อย” เขาคงได้ชื่อนี้เพราะเขาเป็นขอทานตาบอด
ส่วนทิเมอัสมาจากภาษากรีก time' หมายถึง “บุตรแห่งเกียรติยศ” ซึ่งบ่งบอกถึงธรรมชาติและจุดมุ่งหมายของเรามนุษย์
มาระโกระบุชื่อสองครั้งก็เพื่อจะบอกเราว่า มนุษย์ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี (time') นั้น กำลังดำเนินชีวิตอย่างด่างพร้อย ไร้เกียรติ และน่าอับอาย (tame')
ดังนั้น สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ จึงไม่ใช่แค่ทำให้บารทิเมอัสมองเห็น แต่เหนืออื่นใด พระองค์ทรงทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้ กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม เหมือนที่นกกระสาได้กระทำกับเป็ด คือให้คำแนะนำและให้กำลังใจจนเป็ดสามารถตระหนักถึงความสามารถและศักดิ์ศรีที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มัน
พี่น้องครับ บางครั้งเราก็เป็นเหมือนเป็ดที่นั่งเศร้าอยู่ริมทะเล หรือเหมือนบารทิเมอัสที่นั่งขอทานอยู่ริมถนน คือเรารู้สึกว่า “ชีวิตของเรามันยังน่าจะเป็นอะไรได้มากกว่านี้”
บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนกับว่าเราเกิดมาเพื่อจะเป็นนักว่ายน้ำเหมือนนกกระสา แต่เราก็ยังมัวแต่เดินอุ้ยอ้ายแล้วก็กินแต่ปลาเน่าๆ อยู่ริมทะเลเหมือนเป็ด
หรือบางครั้งเราก็รู้สึกว่าน่าจะติดตามพระเยซูเจ้าและร่วมมือกับพระองค์ในการช่วยโลกให้รอดพ้น เหมือนบารทิเมอัสที่เมื่อตามองเห็นก็ลุกขึ้นติดตามพระองค์ แต่เรากลับยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากมัวแต่ทำงานประจำซ้ำซากน่าเบื่อ
พี่น้องครับ ข่าวดีก็คือพระเยซูเจ้ากำลังเสด็จผ่านมา พระองค์สามารถเยียวยารักษาเรา พระองค์สามารถกำจัดความอ่อนแอและอุปสรรคต่างๆ ที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ อย่าไปสนใจคำพูดของคนอื่นว่าเป็นไปไม่ได้ หรือหาว่าเรากำลังฝันกลางวัน เหมือนที่ไก่พูดกับเป็ด แต่ให้เราทำแบบบารทิเมอัสที่ไม่สนใจฟังผู้คนที่ดุให้เขาเงียบ แต่กลับตะโกนเรียกพระเยซูเจ้าดังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
พระเยซูเจ้าพร้อมที่จะรักษาอาการตาบอดที่ทำให้เราหยุดนิ่งหรือเคลื่อนไหวลำบากได้ พระองค์พร้อมจะประทานพละกำลังและเปลี่ยนแปลงเราจากฝูงชนจำนวนมากที่ยืนดูอยู่เฉยๆ ข้างถนนนอกเมืองเยรีโค ไปเป็นผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างแข็งขันและกระตือรือร้นเหมือนอย่างบารทิเมอัส
ต่างกันเพียงแต่ว่าเราติดตามพระองค์ ไม่ใช่ในฐานะอดีตขอทานตาบอด แต่ในฐานะสงฆ์หรือสมณะ เพราะเมื่อรับศีลล้างบาป เราได้รับฐานะเป็นทั้งสงฆ์ ประกาศก และกษัตริย์
นักบุญเปโตรจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่ทรงเลือกสรรไว้ เป็นสมณราชตระกูล” (1 ปต 2:9)
บทอ่านที่สองวันนี้ บอกหน้าที่ของเราในฐานะที่เป็นสมณราชตระกูลว่า “เราเป็นผู้แทนมนุษย์ในความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า” นั่นคือ เราคริสตชนทุกคนมีหน้าที่นำมนุษย์มาหาพระเจ้า และในเวลาเดียวกันก็นำพระเจ้าไปให้แก่มนุษย์
และในการทำหน้าที่นี้ จดหมายถึงชาวฮีบรูบอกว่า เราต้องเห็นใจผู้ที่ไม่รู้และหลงผิด เพราะตัวเราเองก็ถูกความอ่อนแอครอบงำอยู่ คือเป็นผู้ที่หลงผิดด้วยเช่นกัน
หลายครั้งเราปรารถนาดี ต้องการให้ผู้คนกลับมาหาพระเจ้าด้วยการตำหนิ ว่ากล่าว หรือโกรธ เราคิดว่าเราจะสอนเขา แต่เพราะความแข็งกระด้าง เรากลับทำให้เขาเสียขวัญ เสียกำลังใจ มากกว่าจะช่วยเขาให้หลุดพ้นจากความอ่อนแอและหลงผิด
เราจึงต้องไม่ลืมว่า เราต้อง “เห็นใจผู้ที่ไม่รู้และหลงผิด” เพราะตัวเราเองก็ถูกความอ่อนแอครอบงำอยู่เหมือนกัน
พี่น้องครับ ในฐานะที่เราทุกคนเป็นสงฆ์ เป็นสมณราชตระกูล หนทางที่ดีที่สุดในการนำคนกลับมาหาพระเจ้าก็คือการใช้ความอ่อนโยนและสุภาพ ดังนั้น ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าในบูชามิสซานี้ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ผู้มีใจอ่อนโยนและสุภาพ ขอโปรดให้ใจของลูกละม้ายคล้ายพระองค์ด้วยเทอญ”