พี่น้องครับ เพื่อชีวิตของเราจะได้พบกับความพึงพอใจและความสุขอย่างสมบูรณ์ เราต้องการอาหารสองชนิด ชนิดแรกคืออาหารสำหรับร่างกาย ชนิดที่สองคืออาหารสำหรับจิตใจ
จริงอยู่อาหารทั้งสองชนิดนี้ล้วนมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับชีวิต แต่วันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้” ก็แปลว่า สำหรับพระเยซูเจ้า อาหารฝ่ายจิตใจนั้นสำคัญและจำเป็นมากกว่าอาหารฝ่ายกาย ดังสุภาษิตที่ว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”
การที่ผู้คนชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสุดหรู ขับรถยนต์ราคาแพง หรืออยากท่องเที่ยวในอวกาศนอกโลกนั้น ทั้งหมดนี้เกิดจากสาเหตุประการเดียวคือ พวกเขายังไม่พบความพึงพอใจในชีวิตของตนเอง ยังไม่มีสิ่งใดมาดับความหิวกระหายลึกๆ ในจิตใจของพวกเขาได้ พวกเขาจึงต้องแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ หาสินค้ารุ่นใหม่ไปเรื่อยๆ แม้จะต้องใช้เงินทองมากมายเพียงใดก็ตาม พวกเขาร่ำรวยมากก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็หิวกระหายมากจนน่าตกใจเช่นกัน !
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังเลี้ยงฝูงชนที่หิวโหยห้าพันคน โดยยังไม่นับรวมผู้หญิงและเด็ก พระองค์ไม่ได้ต้องการส่งสัญญาณว่าหนทางดับความหิวกระหายอาหารฝ่ายจิตใจและวิญญาณของเรามนุษย์คือการแจกขนมปังเพิ่มให้ฝูงชนอีก แต่พระองค์ทรงทวีขนมปังเพียงเพื่อเป็นเครื่องหมายถึงอาหารฝ่ายจิตใจและวิญญาณซึ่งอยู่เหนือกว่าอาหารฝ่ายกาย และพระองค์คือผู้เดียวที่สามารถดับความหิวกระหายในจิตใจและวิญญาณของเรามนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์
แต่ฝูงชนที่เราได้ฟังในพระวรสารวันนี้เข้าใจเครื่องหมายที่พระองค์ต้องการสื่อสารผิด เมื่อพระองค์พูดถึงปังแห่งชีวิต พวกเขากลับคิดถึงขนมปังที่ทำให้ท้องของพวกเขาอิ่ม เหมือนกับมานนาที่ครั้งหนึ่งก็ช่วยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องบรรพบุรุษของพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาร้องหาพระเยซูเจ้าก็เพราะต้องการขนมปังเพิ่ม พวกเขาต้องการตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์เพื่อจะได้ทำให้ท้องของพวกเขาอิ่ม พวกเขาทูลขอพระองค์ว่า “นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด” แต่แทนที่จะให้ขนมปังเพิ่ม พระองค์กลับตำหนิพวกเขาที่ไม่สามารถคิดอะไรนอกเหนือไปจากเรื่องปากเรื่องท้อง พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม”
และเพราะเหตุนี้เอง พระองค์จึงหลบหนีไปจากพวกเขา แล้วเสด็จขึ้นภูเขาไปตามลำพัง พระองค์ไม่ต้องการให้ผู้ใดคิดว่างานหลักของพระองค์คือการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องฝูงชน เพราะงานหลักของพระองค์คือการหล่อเลี้ยงจิตใจของมนุษย์ด้วยอาหารที่สามารถดับความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณได้ทุกชนิด อาหารที่ทำให้ไม่ตาย แต่ทำให้มีชีวิตตลอดนิรันดร อาหารนี้ก็คือพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะศีลมหาสนิทนั่นเอง
พี่น้องครับ ดังได้เกริ่นมาเมื่อสักครู่ว่าปัญหาใหญ่ของพระองค์ก็คือ เมื่อพระองค์ตรัสสอนเรื่องฝ่ายวิญญาณให้ฝูงชนที่ตามหาพระองค์ฟัง พวกเขากลับเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องของวัตถุ ปัญหาเช่นเดียวกันนี้เกิดกับหญิงชาวสะมาเรียซึ่งพระองค์พบที่บ่อน้ำของยากอบด้วย พระองค์ตรัสกับนางเรื่องน้ำฝ่ายวิญญาณว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหายอีก น้ำที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร” (ยน 4:13-14) แต่นางเข้าใจว่าเป็นน้ำเหมือนในบ่อของยากอบ จึงทูลพระองค์ว่า “นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก” (ยน 4:15)
เห็นไหม ยากที่คนที่มีความคิดทางโลกและหมกมุ่นอยู่กับวัตถุสิ่งของจะเข้าใจและยอมรับความจริงฝ่ายวิญญาณได้
เราจึงต้องระวังอย่าให้ผิดพลาดเช่นเดียวกับฝูงชนที่เราได้ฟังในพระวรสารวันนี้ หรือเหมือนกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำของยากอบ
ด้วยเหตุนี้ นักบุญเปาโลจึงเตือนเราในบทอ่านที่สองว่า “อย่าดำเนินชีวิตโดยไร้ความคิด”
เพราะฉะนั้น พี่น้องครับ วันนี้ขอให้เราคิดให้ดี และก็ตระหนักให้ดีว่าเงินทองและวัตถุสิ่งของที่เรายึดติดราวกับว่ามันเป็นพระเจ้าของเรานั้น แม้มันสัญญาว่าจะให้ความพึงพอใจและความสุขแก่เราก็จริง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นความสุขที่ไม่จีรังยั่งยืน ซ้ำร้ายยังทำให้เราหิวกระหายมากกว่าอีก
และให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดให้เรารับฟังพระวาจาของพระองค์ซึ่งเป็นความจริงฝ่ายวิญญาณ และเมื่อมีโอกาสรับศีลมหาสนิทซึ่งเป็นพระกายของพระองค์แล้ว ขอให้เราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ และหันหนีจากความเย้ายวนที่โลกหยิบยื่นให้ ดังที่นักบุญเปาโลกำชับเราในวันนี้ว่า “ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่า เลิกประพฤติเลวทรามตามราคตัณหาที่หลอกให้หลงไป จงมีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่ จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงเนรมิตให้เหมือนพระองค์”
และที่สุด ขอให้เราสวดภาวนาเช่นเดียวกับนักบุญเอากุสตินว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงสร้างเรามาก็เพื่อพระองค์ และจิตใจของเราจะไม่มีทางได้พักผ่อนจนกว่าจะได้พักผ่อนในพระองค์”