Logo

บทเทศน์สอนวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2024 สมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล อัครสาวก

หมวด: บทเทศน์สอน วันอาทิตย์ โดยคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เขียนโดย คุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
ฮิต: 688

        วันนี้ พระศาสนจักรทั่วโลกร่วมกันสมโภชสองนักบุญผู้ยิ่งใหญ่คือนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล
        การที่พระศาสนจักรฉลองนักบุญทั้งสองร่วมกันในวันนี้ มิได้หมายความว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้กัน นิสัยเหมือนกัน ราวกับเป็นฝาแฝดคลานตามกันมา
        อันที่จริง ทั้งคู่มีความแตกต่างกันมากกว่าจะเหมือนกันเสียอีก
        อันดับแรกเลย ทั้งคู่มีที่มาแตกต่างกัน
        นักบุญเปโตรได้รับการเรียกจากพระเยซูเจ้าโดยตรง พระองค์ตรัสเรียกเปโตรว่า “จง​ตาม​เรา​มา​เถิด เรา​จะ​ทำ​ให้​ท่าน​เป็น​ชาวประมง​หาม​นุษย์” (มธ 4:19) ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังทรงมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้แก่เปโตรดังที่เราได้ฟังในพระวรสารวันนี้อีกด้วย
        ส่วนนักบุญเปาโลนั้นตรงกันข้าม ท่านไม่เคยพบกับพระเยซูเจ้าแบบตัวต่อตัวในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่เลย แต่หลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์แล้ว ท่านได้พบกับพระองค์อาศัยนิมิตและได้รับการเรียกอาศัยนิมิตอีกเช่นกัน หนังสือกิจการอัครสาวกเล่าว่า ขณะเซาโลกำลังไล่ตามเบียดเบียนพระศาสนจักรใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส “ทัน​ใด​นั้น​มี​แสง​สว่าง​จาก​ท้องฟ้า​ล้อมรอบ​ตัว​เขา​ไว้ เขา​ล้ม​ลง​ที่​พื้นดิน​และ​ได้ยิน​เสียง​กล่าว​ว่า ‘เซา​โล เซา​โล ท่าน​เบียด​เบียน​เรา​ทำไม’ เซา​โล​จึง​ถาม​ว่า ‘พระ​เจ้า​ข้า พระ​องค์​คือ​ใคร’ พระ​องค์​ตรัส​ว่า ‘เรา​คือ​เยซู ซึ่ง​ท่าน​กำลัง​เบียด​เบียน’” (กจ 9:3-6)
        นอกจากที่มาจะต่างกันแล้ว นิสัยของท่านนักบุญทั้งสองก็แตกต่างกันด้วย
        นักบุญเปโตรนั้นเป็นคนหุนหันพลันแล่น ชอบใช้หัวใจมากกว่าหัวคิด ค่ำคืนวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ ท่านทูลพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพ​เจ้า​จะ​สละ​ชีวิต​เพื่อ​พระ​องค์” (ยน 13:37) แล้วหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ท่านก็ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระองค์ถึง 3 ครั้ง
        ส่วนนักบุญเปาโลนั้นตรงกันข้าม ท่านใช้หัวคิดมากกว่าหัวใจ จึงดูเหมือนจะเป็นคนแข็ง ไม่ยอมคน ท่านมีการศึกษาสูง ร้อนรน ชอบใช้เหตุผลโต้เถียงเพื่อให้ผู้ฟังเชื่อพระเยซูเจ้า ซึ่งนับเป็นพรสวรรค์พิเศษของท่าน
        แต่ใช่ว่าทั้งคู่จะแตกต่างกัน จนหาอะไรที่เหมือนกันไม่ได้ซะเลย
        สิ่งที่เหมือนกันประการแรกเลยก็คือ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเรียกท่านทั้งสอง ไม่ว่าจะเรียกตรงๆ หรือเรียกผ่านนิมิตก็ตาม ท่านทั้งสองตอบรับการเรียกของพระองค์ทันที นักบุญเปโตรทิ้งแหแล้วก็ติดตามพระองค์ ส่วนนักบุญเปาโล เมื่อตาที่บอดกลับมองเห็น ​ท่านก็เริ่มเทศน์​สอน​ใน​ศาลา​ธรรม​ทันที ประกาศ​ว่า “พระ​เยซู​เจ้า​พระ​องค์​นี้​เป็น​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า” (กจ 9:20)
        นอกจากรับการเรียกทันทีแล้ว ทั้งคู่ยังรักพระเยซูเจ้าสุดหัวใจ เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถามนักบุญเปโตรว่ารักพระองค์ไหม ท่านทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระ​เจ้า​ข้า พระ​องค์​ทรง​ทราบ​ทุกสิ่ง พระ​องค์​ทรง​ทราบ​ว่า​ข้าพ​เจ้า​รัก​พระ​องค์” ส่วนนักบุญเปาโล ท่านเขียนจดหมายถึงชาวโรมบอกว่าไม่มีอะไรจะมาพรากท่านจากความรักต่อพระเจ้าได้ “​ไม่ว่า​ความ​ตาย​หรือ​ชีวิต ไม่ว่า​ปัจจุบัน​หรือ​อนาคต ไม่​มี​สรรพ​สิ่งใดๆ จะ​พราก​ท่าน​จาก​ความ​รัก​ของ​พระ​เจ้าได้” (รม 8:37-39)
        นอกจากรักพระเยซูเจ้าหมดหัวใจเหมือนกันแล้ว ท่านทั้งสองยังเป็นเสาหลักของพระศาสนจักรเหมือนกันอีกด้วย
        นักบุญเปโตรเป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรก ท่านต้องคอยรักษาพระศาสนจักรซึ่งแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วให้เป็นเอกภาพ คอยประสานความคิดของผู้ที่เข้าสุหนัตและไม่เข้าสุหนัตให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
        ส่วนนักบุญเปาโล แม้ไม่ได้เป็นหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน แต่ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของบรรดาคนต่างชาติ เราก็เป็นคนต่างชาติเพราะไม่ได้เกิดมาเป็นยิว เป็นเพราะนักบุญเปาโลนี่แหละ เราจึงได้เข้ามาอยู่ในพระศาสนจักรของพระเยซูคริสตเจ้า
        ที่สุด แม้ชีวิตของท่านทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่ความตายของท่านทั้งสองนั้นใกล้เคียงกันมาก ทั้งสองถูกทรมาณและตายเป็นมรณสักขีในเมืองเดียวกันคือกรุงโรม และในเวลาไล่เลี่ยกันคือประมาณปี ค.ศ. 64-67 โดยนักบุญเปโตรถูกตรึงกางเขน เอาศีรษะลง ส่วนนักบุญเปาโลถูกตัดศีรษะ ศพของท่านทั้งสองอยู่ใต้พระแท่นใหญ่ในมหาวิหารนักบุญเปโตร และมหาวิหารนักบุญเปาโลตามลำดับ
        สาเหตุที่พระศาสนจักรจัดสมโภชท่านนักบุญทั้งสองรวมกันในวันนี้ ก็เพื่อจะสอนเราว่า “สามัคคีคือพลัง” แม้ท่านทั้งสองจะมีนิสัยต่างกัน มีความรู้ มีพรสวรรค์ มีข้อบกพร่องแตกต่างกัน แต่เมื่อนำมารวมกันก็ทำให้พระศาสนจักรและคำสอนของพระเยซูเจ้าแผ่ขยายออกไปจนสุดปลายแผ่นดิน และตั้งมั่นอยู่จนทุกวันนี้
        นี่จึงเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า หากเรายินยอม เราก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการช่วยผู้อื่นให้ได้รับความรอดพ้นได้ ไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นคนดีพร้อมเพื่อจะเป็นเครื่องมือของพระองค์ พระองค์สามารถทำงานผ่านเราได้ทั้งๆ ที่เรายังมีข้อบกพร่องและอ่อนแอ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงกระทำกับนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล ขอย้ำอีกครั้งว่า ขอเพียงเรายินยอมเท่านั้น
        ในมิสซานี้ ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงโปรดส่งท่านนักบุญทั้งสองให้มาเป็นเสาหลักของพระศาสนจักร และยังทรงโปรดให้มีพระสันตะปาปาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านนักบุญเปโตรและสืบทอดคำสอนของท่านนักบุญเปาโลสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้
        และให้เราวอนขอพระองค์ โปรดให้เราตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่ว่าเราจะมีนิสัยอย่างไร จะชอบวิถีชีวิตแบบนักบุญเปโตรหรือนักบุญเปาโลก็ตาม ขออย่าให้มีความแตกแยกระหว่างพวกเรา เพราะเราทุกคนต่างก็เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า และเป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์องค์เดียวกัน และที่สำคัญเพราะว่า “สามัคคีคือพลัง” !